วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เด็กน้อยในโลกประชาธิปไตย


โอ้ววววว!!!!!

ดูสถิติการเข้าบล็อกของวันนี้เถอะครับ มันน่าม่วนซื่นโฮแซวขนาดไหน
นี่คือหนึ่งในการเรียนที่อยู่นอกห้องเรียนครับ

ขอบใจนักศึกษาทุกคนที่เห็นความสำคัญของ "กติกา" ที่เป็นส่วนหนึ่งให้สังคมของเราอยู่ร่วมกันได้

ความเห็นที่แตกต่างจากกระทู้ข้างล่าง แสดงให้เห็นว่า ทุกสังคมมีความเห็นที่แตกต่าง
และเชื่อว่าเมื่อผลออกมา คนที่อยู่ในกติกาจะยอมรับกับมัน

การเรียนวันนี้ทำให้เราได้เห็นพลังของโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ว่ามันมีความสำคัญกับการสื่อสาร
ในยุคดิจิตัลมาขนาดไหน

เชื่อมั้ยครับว่า...ข่าวเรื่องการเรียนหรือไม่เรียนที่จะมาตัดสินกันแบบประชาธิปไตยคืนนี้
เกิดจากการสนทนาเบื้องต้นกันแค่ ๒ คน

ขออนุญาตปิดแหล่งข่าวเอาไว้ก็แล้วกัน

จาก ๒ คนมันแพร่กระจายกลายเป็นมีคนอีกจำนวน ๒๓ คน รับทราบข่าวนี้
การแพร่กระจายลักษณะนี้ขอให้นักศึกษาไปค้นคว้าเพิ่มเติมเอาเองในหัวข้อ

"ทฤษฎีการแพร่กระจายนวัตกรรม"
Diffusion of Innovations Theory (DOI) ของ Everett Roger

..................................................................

เบื้องต้นทุกคนที่เข้ามาร่วมแสดงความเป็นประชาธิปไตยในคืนนี้
จะได้รับการเช็คชื่อ และใส่คะแนนลงในช่อง "ประชาธิปไตยในชั้นเรียน"
ซึ่งมีค่า ๑๐ คะแนนเต็ม


เย้!!!!!!!!!!!!!!!!!


ส่วนที่เหลืออีกเกินครึ่งที่ไม่มีโอกาสได้ลงคะแนน ก็ขอให้นักศึกษาแจ้งเพื่อน ๆ ด้วยว่า
อย่าปล่อยปละละเลยในสิ่งที่บอกตั้งแต่ชั่วโมงแรกว่า

ให้ติดตามบล็อก / ทวิตเตอร์ /หรือเฟสบุค

เพราะวันนี้ "เราต้องยอมรับมันแล้ว" ว่า โลกของการสื่อสารมันไม่ใช่แค่พูดกันเมื่อเจอเท่านั้น

เอา่ล่ะครับ.....สรุปผลการลงคะแนนวันนี้ปรากฏผลดังนี้ครับ

จากนักศึกษาทั้ง ๒ ตอนเรียน ๘๕ คน
มาใช้สิทธิ ๒๓ คน โหวตไม่เรียน ๑๔ คน และโหวตเรียน ๙ คน
นั่นหมายความว่าไม่มาใช้สิทธิ์ ๖๒ คน

ถ้าสถานการณ์จำลองคืนนี้เป็นการเมืองในภาพใหญ่ ที่กำลังจะมีการเลือกตั้ง
ในวันอาทิตย์ที่ ๓ กรฎาคมนี้ มันจะเป็นภาพที่น่ากลัวมากนะครับ

เพราะมันมีสิทธิ์ที่จะเกิดการ "ปฏิวัติ" ได้โดยง่าย ด้วยข้ออ้างไม่ใช่ผลของคนส่วนใหญ่


ซึ่งขาดไปถึง ๖๒ เสียง ซึ่งถ้าจะให้บอกความรู้สึกตรงๆ ก็คือ "รู้สึกผิดหวังกับเสียงจำนวนนั้นที่หายไป"

เป็นเพราะ...

๑.ไม่สนใจ ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ฉันตามได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว เรียนก็เรียน ไม่เรียนก็ไม่ไป

๒.หรืออาจจะเป็นเพราะเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสารว่ามีแอคทิวิตี้นี้ในคืนนี้

๓. หรืออาจเป็นเพราะใช้เทตโนโลยีในการติดตามบล็อกนี้ไม่ได้

เชื่อว่าใน ๖๒ คนนั้น จะปะปนกันไปใน ๓ กลุ่มข้างต้นนี่แหละ...
ก็ได้แค่ภาวนาว่าอย่าให้อยู่ในกลุ่มที่ ๑ มากนักเลย มันสะท้อนให้เห็นความล้มเหลว
ของการสื่อสาร การอยู่เป็นสังคม และความใส่ใจในสิ่งที่ผู้สอนพยายามเน้นให้เห็นความสำคัญ
ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่ได้เจอกัน

.................................................................

เมื่อผลเป็นเช่นนี้ ก็ต้องยอมรับกติกาของเสียงส่วนใหญ่
วันศุกร์นี้ทั้งเช้าและบ่าย "ไม่มีเรียน"

อย่าลืมว่าการไม่เรียน มีเหตุมาจากการขอไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
ดังนั้นกติกาของเรายังคงมีเรื่องที่ต้องทำกันต่อเพื่อให้ภารกิจ
ครั้งนี้สมบูรณ์ ก็คือ "ไปเลือกตั้งและแสดงหลักฐาน"

.................................................................

คนทุกคนล้วนมีบรรจุภัณฑ์ห่อหุ้มตัวเองอยู่ทั้งสิ้นครับ
บรรจุภัณฑ์ของทุกคนสวยสดงดงาม เป็นที่พึงพอใจของผู้พบเห็นแน่นอน
ข้อพิสูจน์ก็คือ....

รูปแสดงตัวของหลายคน ดูดีกว่าตัวจริงเยอะเลย

ฮา...............................


ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการเป็นหนึ่งในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
พบกันวันศุกร์หน้า ๐๙.๑๕ น. และ ๑๒.๓๐ น.

ดร.วรัตต์ อินทสระ
(คืนสุขใจที่เห็นประชาธิปไตยเบ่งบาน)

ใครอยากอ่านก็อ่านต่อนะครับ ไม่อยากอ่านก็จบไว้เพียงแค่ลายเซ็นข้างบน

ทุกครั้งที่มีคนกล่าวอ้างถึงคอนเซปต์ ประชาธิปไตย วินาทีพร้อมพยายามสอดแทรก

การรณรงค์อย่างเท่ว่าขอให้ประชาชนคนไทยเปลี่ยนแนวคิดเสียใหม่ ให้เป็นประชาธิปไตย

ผมมักจะแอบยิ้มด้วยความเห็นใจเหล่านักรณรงค์เหล่านั้นอย่างสุดซึ้ง

( ว่าแต่...เห็นใจแล้วทำไมเอ็งต้องยิ้ม? ) ที่เราร่วมตรวจสอบ ร่วมบริหารประเทศด้วยกันเถอะนะที่รัก

แม้ว่าใจผมจะเห็นด้วยกับแนวคิดนี้อย่างสุดโต่งโสล่งเป็ดก็ตาม แต่ก็ไม่วายอยากจะเสือกตัวเข้าไปวงในแล้วกระซิบที่ข้างหูเขาเบาๆไม่ได้ว่า คุณพี่ครับ อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้อย่างนั้นเลยนะครับ แต่ผมคิดว่าฝันที่เป็นจริงของพี่มันแม่งโคตรยากส์เลย

ซึ่งก็อาจจะได้รับปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการทำสีหน้านัยว่า..มาอีกแล้วเรอะนักทำลายความฝันอาชีพ

ผู้รักการโวยวายหน่ายบ่นปนหงุดหงิด แต่ไม่เคยคิดจะช่วยทำให้ดีขึ้น

(เป็นรูปแบบของสีหน้าที่แสดงออกยากมาก หากต้องการสื่อสารข้อมูลให้ครบ 555) คนถูกถามก็คงต้องอดกลั้นแล้วถามกลับไปอย่างสุภาพอ่อนโยนว่า

ทำไมมึง(น้อง)ถึงคิดเช่นนั่นเล่า?”

....โอ้ว...ผมก็คงเริ่มเผยยิ้มอย่างชัดเจนพร้อมสีหน้าที่แสดงออกให้รู้สึกว่าตัวเองได้รับชัยชนะเล็กๆ

ให้มีคนสนใจในประเด็นที่ขัดแย้งได้พร้อมไปกับการภูมิใจที่จะได้โอกาสเสนอข้อสังเกตแมนๆ

ที่ตัวเองได้แต่เก็บเป็นความลับเอาไว้ในซอกเล็บขบเป็นเวลาหลากหลายปี พร้อมเปล่งวาจา

ไปด้วยโทนเสียงนุ่มลึกน่าเกรงขามแต่แฝงความเข้มแมนราวกับออกจากปากของเฮีย อัล ปาชิโน ใน Serpico (ไอ้ภาพที่นิยมติดกันที่บังโคลนรถบรรทุกนั่นแหละ) ว่า

ก็อนาคตของชีวิตเขายังเลือกแค่ วินาที

จะไปหวังอะไรให้เขาเลือกอนาคตของประเทศด้วยเวลามากกว่านั้นละเพ่

....................................................

ขอกลับไปที่ ประชาธิปไตย วินาทีใครที่ยังไม่คุ้นกับวาทกรรมนี้ มันคือ การเปรียบเปรยว่า

ชนชาติเราให้ความสำคัญและมีส่วนร่วมกับประชาธิปไตยแค่ ๔ วินาทีเท่านั้น

วินาทีที่ ๑ รับบัตร

วินาทีที่ ๒ กาบัตร

วินาทีที่ ๓ พับบัตร

วินาทีที่ ๔ หย่อนบัตร

หลังจากนั้นอำนาจหน้าที่ถือว่าสิ้นสุด พบกันใหม่อีก ๔ ปีข้างหน้า

เป็นระบอบการปกครองแบบโอลิมปิกเกมส์ (แต่หลังๆมานี้ โอลิมปิกธิปไตยไม่เคยถึง ๔ ปีสักครั้ง T_T)

จากนั้นนักกาเหล่านั้นก็ถือว่าเลือกผู้แทนรัฐบาลมาแล้วนี่ก็ปล่อยเค้าจัดการไปสิ ๔ ปีข้างหน้า

ก็แค่เลือกใหม่ให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ทั้งๆที่ๆเรามีสิทธิ์เต็มที่ในการ ตรวจสอบ ซักถาม เรียกร้อง ประท้วง

ระหว่างการทำงานของรัฐบาลได้อย่างชอบธรรม ขึ้นอยู่กับระดับความช่างสังเกต ช่างคิด ช่างซัก

ช่างถาม ของประชาชนแต่ละท่าน

แต่เสียดายที่ประชาชนไทยส่วนใหญ่มักจะ ช่างแม่ง

ที่จำเป็นต้องช่างแม่งเพราะมีเรื่องของตัวเองที่น่าสนใจกว่า มีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องใส่ใจกว่า

มีชีวิตของตัวเองที่สำคัญมากกว่า

...ใช่แล้ว... ชีวิตของตัวเองสำคัญมากกว่า.....สำคัญที่สุดเลยเหอะ...

น่าแปลกครับ สิ่งที่คนเราคิดว่าสำคัญที่สุด แต่กลับมีคนมากกว่าครึ่งในวันนี้ที่ไม่มีความสุข

กับชีวิตของตัวเอง......จะเชื่อไหมครับถ้าผมจะบอกว่า มันมาจากการใช้แนวคิด

ชีวิตธิปไตย ๔ วินาทีนั่นแหละ

ผมจะเริ่มจากตัวอย่างที่ใกล้เคียงกันอย่างเหลือเชื่อ / ด้วยการเลือกอนาคตอย่างเป็นรูปธรรม

ครั้งแรกในชีวิตของเรา คือ การสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือ เอ็นทร๊านส์ส์ส์ส์ ที่หลอกหลอนมาในอดีต

(หรือในปัจจุบันสำหรับบางคน) นั่นเอง

หลังจากผ่านสมรภูมิสอบเป็นที่เรียบร้อย เด็กน้อยคอซองขาสั้นนั่งหน้านิ่วอยู่บนโต๊ะพร้อมดินสอในมือ

เอกสารที่อยู่ตรงหน้าเป็นช่องตัวเลือกของคณะสาขาและมหาวิทยาลัยที่เราจะต้องเลือก กา

เด็กน้อยคนนั้นคิดอะไรอยู่?

คณะอะไรดีวะ พ่อแม่เราอยากให้เข้าอะไร เพื่อนๆที่เรารักมันเลือกอะไรกันวะ สาขาอะไรนิยม

เรียนจบมีงานเปล่าวะ มหาวิทยาลัยอะไรที่เข้าไปไม่อายเขา คะแนนเราจะถึงมั๊ยนะ ตกลงกูจะเป็นอะไรวะ?

ฮา.........................

เกณฑ์ในการตัดสินใจมีอิทธิพลจากแวดล้อมภายนอกมากกว่าความต้องการภายในอยู่หลายขุมทีเดีย

ซึ่งแหม....ถึงหลายคนจะคิดมาแล้วว่าตัวเองต้องการทำอาชีพอะไรในการเลือกคณะ แต่ถามจริงๆเหอะ

เด็กน้อยคนนั้นรู้อะไรมากไปกว่า วิศวกร คือ สร้างบ้าน แพทย์ คือ หมอรักษาคนไข้รายได้ดี บัญชี คือ มีแต่ตัวเลข รัฐศาสตร์ คือ นักการเมืองบริหารธุรกิจ คือ ผู้บริหาร วิทยาศาสตร์ คือ นักวิทยาศาสตร์

นิเทศศาสตร์ คือ พวกที่สื่อสารกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง (ฮาอีกที)

เด็กน้อยคนนั้นใช้เวลากว่า ๑๒ ปีในช่วงประถมและมัธยมศึกษาในการคร่ำเคร่งเครียดตะบี้ตะบันเรียนให้

คิดเลขเก่ง อ่านภาษาอังกฤษออก ท่องสูตรเคมีได้ ผันวรรณยุกต์เป็น แต่กลับมีความเข้าใจ

ในระดับกำปั้นทุบดินกับวิชาชีพที่ต้องใช้สิ่งเหล่านี้ในอนาคต เรียนเอาเหตุ ไม่เน้นผล

ซึ่งนั่นทำให้เด็กน้อยสามารถตอบถามตัวเองว่า

โตขึ้นอยากเป็นอะไร?” ได้อย่างตื้นเขินฉิบหายอยากเป็นหมอเพราะรวย อยากเป็นวิศวกรเพราะเท่

อยากเป็นแอร์เพราะสวย อยากเป็นนักการเมืองเพราะดูมีอุดมการณ์ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการใช้ วินาที

ในการเลือกคณะ และเลือก อนาคตชีวิตที่เหลือของตัวเอง

เลือกเพียงเพราะรู้แค่นั้น เลือกไปก่อน พอเลือกได้แล้ว....ก็ ช่างแม่ง

เรียนไปสิ เลือกมาแล้ว ลองดูก่อน ชอบหรือเปล่าไม่รู้ แต่ต้องเรียนให้จบ

จะเปลี่ยนอะไรขอให้รอ โอลิมปิกแห่งชีวิตครั้งหน้า...อีก ๔ ปี

คุ้นมั้ย ๔ วินาทีแลก ๔ ปี

ภายหลังเรียนจบเด็กน้อยก็ต้องรีบออกมาหางานทำที่ไหนเขาจะรับเรานะ ทำงานตรงสายที่เรียนมานี่แหละ บริษัทไหนชื่อเสียงดีวะ เขาให้เงินเท่าไหร่วะ จะให้ทำอะไรช่างมันเหอะ ขอให้ได้เข้าไปทำก่อน

ความคิดของเด็กน้อยเหมือนจะไม่ได้โตขึ้นเลย จะมีเด็กน้อยสักกี่คนที่รู้ก่อนล่วงหน้าว่า งานที่เขาเลือกนั้นแต่ละวันจะต้องทำอะไรบ้าง ทักษะอะไรบ้างที่ต้องใช้ ความยากอยู่ที่ตรงไหน ตรงกับความชอบและความถนัดจริงๆหรือเปล่า เขาตั้งใจจะทำไปถึงเมื่อไหร่ และจากนั้นจะไปทำอะไรต่อ มันเป็นงานที่จะพาเขาไปสู่ชีวิตที่ต้องการหรือเปล่า?

ส่วนใหญ่ก็ทำงานไปเรื่อยๆ ทำงานไปวันๆ ทำงานไปงั้นๆ ทำงานไปให้มีงานทำ

ลองนับจำนวนเด็กน้อยที่บ่นว่า เบื่อ เครียด เกลียดวันจันทร์ รักวันศุกร์ดูสิ.

เด็กน้อยเริ่มไม่มีความสุขกับชีวิตที่เขาไม่ได้เรียนรู้มาก่อน ไม่ได้พิจารณาล่วงหน้า

ไม่ได้ตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ฝืนใช้ชีวิตจวบจนกระทั่งความทุกข์รวมตัวกันประท้วงขับไล่

จนก่อให้เกิดการ ปฏิวัติชีวิตและเรียกร้องการเลือกตั้งใหม่

นี่แหละครับขนาดเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต ยังไม่เต็มใจจะใช้เวลาหาข้อมูล พิจารณาทางเลือก

ประเมินความคิด ตรวจสอบเส้นทางอะไรเลย เพียงแค่รู้สึกอุ่นใจที่เลือกเส้นทางที่มั่นคง

เหมือนเด็กน้อยคนอื่นๆ แล้วจะไปหวังอะไรกับประชาธิปไตย.....

เรื่องที่เด็กน้อยคิดว่า ไกลตัวอย่างนั้น (นอกจากเด็กน้อยอยากจะเป็นนักต่อสู้ อ่ะนะ)

แล้วเลือกตั้งครั้งใหม่... เด็กน้อยจะเลือกอย่างไร? เค้าจะมีแนวคิดใหม่ๆในการเลือกชีวิต

ของเขาหรือเปล่า?

ชีวิตคือการเดินทางครับ ให้เวลากับการกำหนดเป้าหมายที่เราอยากจะไป และศึกษาเส้นทางล่วงหน้า

ก่อนออกเดินทาง ถึงจะไปช้าอย่างไรก็ไม่หลง หรือถึงจะหลงก็หลงไม่มาก...

แต่คนส่วนใหญ่ทุกวันนี้กลับให้ความสำคัญเหลือเกินกับเทคนิคการเดิน การวิ่ง เดินอย่างไรให้เร็ว

วิ่งอย่างไรให้ไม่เหนื่อย ท่าไหนสวย ท่าไหนมั่นคงทิศไหนไม่รู้....ขอกูได้เดินก่อนเถอะ

ทั้งที่ความเป็นจริงมันไม่ได้ใช้เวลาและความสามารถมากเลยกับการกำหนดพิกัดเป้าหมาย

สำรวจเส้นทาง

ผมมักจะพูดอยู่เสมอว่า เดินช้าช้าอย่างถูกทิศ ดีกว่าวิ่งสุดชีวิตแต่หลงทาง

กวาดตามองดูพี่น้องชาวไทยปัจจุบันมีคนหลงทางเยอะซะด้วย และที่น่าเศร้าคือ

โดยมากมันสายเกินกว่าจะกลับมาซะแล้ว

ผมคิดเองอย่างสั้นๆง่ายๆโง่ๆว่า ถ้าหากประเทศเราหล่อหลอมให้ประชาชนเดินแบบถูกทิศถูกทางถูกที่ได้ ความเจริญก้าวหน้าและความสามารถทางการแข่งขันของประเทศคงไปได้ไกลมากกว่าที่ใครต่อใคร

เอาแต่ประกาศก้องว่าจะเป็นเสือ เป็นมังกร เป็นหมีแพนด้า ตัวที่เท่าไหร่ของโลกก็เถอะ

ก็เข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเด็กน้อยทั้งหลายเองก็ไม่ได้รับการปลูกฝังให้กำหนดแผนที่ชีวิต

และวิ่งเข้าหาข้อมูลพื้นที่ด้วยตัวเอง ซ้ำร้ายยังขาดแคลนระบบและการสื่อสารให้ศึกษาเชิงลึก

ถึงเส้นทางในอนาคตต่างๆอย่างง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่ใช่ว่าจะเริ่มไม่ได้

ฉะนั้นขอฝากไว้สำหรับเด็กน้อยที่กำลังจะมีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรก และเด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่ทุกท่าน

ผมคิดว่าถึงเวลาที่เราจะให้เวลากับความคิดเหล่านี้อย่างจริงจังได้แล้ว เพื่อป้องกันความเสียดาย

ที่จะเกิดขึ้นกับเวลาชีวิตที่เหลืออยู่


เฮ้!!!

ส่วนเด็กไม่น้อยทั้งหลายแหล่ ที่ได้ให้ความสำคัญกับการเลือกมาตลอดและคิดว่าสิ่งที่ผมบอกนั้น

มันไม่เห็นจะจริงเอาซะเลย ก็ขอแสดงความยินดีอย่างจริงใจด้วยนะครับ

ที่คุณได้ผ่านการเลือกชีวิตของคุณอย่างพิถีพิถัน และเริ่มทำมันให้เป็นความจริงเรียบร้อยแล้ว

แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร

เหนือสิ่งอื่นใดคุณคือเพชรเม็ดหนึ่งของสวนดุสิต จะนอนนิ่งในโคลน หรือพร้อมจะถูกหยิบออกมาเจียรไน


(บ่นบ้าไปตามประสา)

๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔







3 ความคิดเห็น:

  1. ทั้งขำทั้งสะเทือนใจ สาระปนตลก เสียงหัวเราะคลุกเคล้าน้ำตา(ตกใน)

    ครั้งนึงเราเคยตัดสินใจใช้หลักการดำเนินชีวิตแบบกากๆ
    แบบผิดพลาดมาแล้ว สำหรับ ณ เวลานี้

    "เอาว่ะ" ไหนๆก็(หลง)เลือกมาทางนี้แล้ว ลองมันอีกซักตั้ง สู้ต่อไป
    "ช่างแม่ง" ผิดแล้วผิดไป เริ่มต้นกันใหม่ ยังไม่สาย(มั้ง)
    ถึงเวลา.. ปฏิวัติประชาธิปไตยในตัวเอง

    เพราะฉะนั้นอาทิตที่ 3 ก.ค. นี้ เข้าคูหา กา ... xxx
    (กีนั้งๆกาๆกีนั้ง..ตอนเล็กๆไม่เรียนหนังสือโตขึ้นมาต้องขัดรองเท้า) คริคริ
    ไปดีกว่า เด๋วกกต.มา

    ฟิ้ววววววว --"

    ตอบลบ
  2. ได้ลงความคิดเห็นแล้ว
    สบายใจแระ ปิดคอม นอน ..

    ตอบลบ
  3. Why the Casino Is The Only Place To Play Slots - Dr.MCD
    Why is the casino 세종특별자치 출장안마 so popular, and why 목포 출장안마 is it so popular and why is it 의정부 출장샵 so 통영 출장샵 popular? The most popular casino games are online 문경 출장안마 slots, blackjack,

    ตอบลบ