มันดูเนือยๆ เฉื่อยๆ ขาดความกระตือรือร้นอย่างแรง
ครั้นจะคิดว่าเป็นเพราะคนสอน "ห่วยเอง" มันก็ไม่น่าใช่ เพราะทั้งเนื้อหา / วิธีการ
มุกหยอดมุกตบ ที่ประเคยใส่ มันก็มุกเดิม ๆที่เคยปราบเซียนมาแล้วทั้งนั้น
หรือจะเป็นเพราะเจอกันครั้งแรก ยังจับทางกันไม่ถูก เอาล่ะ..ถึงจะเป็นสาเหตุอะไรก็แล้วแต่
วันนี้...ไม่ปลื้มกับชั่วโมงครึ่งในชั้นเรียนตอนบ่ายอย่างแรง
ไว้อังคารหน้าเอาใหม่...ยอมแพ้ง่าย ๆ ไม่มีวันซะหรอก !!!!
....................
เอ้า มาสรุปเนื้อหาของสัปดาห์แรกกัน สิ่งที่เคี้ยวเอื้องแล้วป้อนให้นักศึกษาวันนี้ ประกอบไปด้วย
สาระหลัก ๆ เรื่อง ๓ นั่นก็คือ
๑. Differentiate or Die แปลภาษาแบบวัยโจ๋ว่า ถ้าแตกต่างไม่ได้ก็จงไปตายซะ
ซึ่งมันเป็นพื้นฐานแรกของคนที่จะเข้ามาสู่วงการโฆษณาที่ต้องใช้ ความสร้างสรรค์ จินตนาการ
เพื่อสร้างความแตกต่างให้ได้
ดูเอาก็แล้วกันครับ เป็ดดำทั้งเล้า สู้เป็ดขาวตัวเดียวก็ไม่ได้ อันนี้มองในมิติของความแตกต่างนะครับ
หรือจะลองดูอีกสักตัวอย่าง เรื่องของคนทั้ง ๖ คนนี้ก็แล้วกัน
ใครแตกต่าง ใครน่าเบื่อเห็นกันชัดๆลูกกะตาแล้ว ความเข้าใจเบื้องต้นของคนเรียนโฆษณา
จึงต้องเริ่มต้นด้วยการปรับทัศนะให้นักศึกษามองโลกให้แตกต่าง
ธุรกิจหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ
อย่างยิ่ง คือ ผลิตผลของสตีฟ จ๊อบส์
ใช่แล้วครับ...แมคอินทอช ไอพอด ไอโฟน ไอแพด
สินค้าตราลูกแอบเปิ้ล สร้างแรงสะเทือนให้โลก ได้ลึกซึ้งถึงความหมายของคำว่า
"ความแตกต่าง" ระดับ ๙.๘ ริกเตอร์
ม็อตตโต้ของแอบเปิ้ลพี่แกยังคิดอกมาว่า
Think Different เลยนะ
เมื่อมาถึงตรงนี้ ผมเลยจัดการสร้างความแตกต่างให้ชั้นเรียนนี้ทันที
ด้วยอัตราส่วนของคะแนนเก็บและคะแนนสอบปลายภาค
81:19 คะแนน
โดยเนื้อแท้แล้วมันไม่ได้แตกต่างอะไรจาก 80:20 หรือ 70:30 ที่คุ้นเคยกันหรอก
แต่สิ้นสุดคำประกาศ คะแนนเก็บ 81 คะแนนสอบ 19 นักศึกษาน่าจะความเข้าใจเรื่องการสร้างความ
แตกต่างได้ ใสปิ๊ง!!! ยิ่งขึ้น
อย่างน้อย..มันก็เรียกเสียง ครางฮือได้ ๓๐ วินาทีล่ะน่า
เนื้อหาส่วนที่ ๒ ผมเลือกคำนิยามของ โฆษณาให้นักศึกษา "จด" (และผมเชื่อว่าเค้าไม่มีทางจำได้)
ขออนุญาตคัดลอกมาทั้งดุ้น
- The non-personal communication of information usually paid for & usually persuasive in nature, about products (goods & services) or ideas by identified sponsor through various media. (Arenes 1996)
- Any paid form of non-personal communication about an organisation, product ,service, or idea from an identified sponsor. (Blech & Blech 1998)
- Paid non-personal communication from an identified sponsor using mass media to persuade influence an audience. (Wells, Burnett, & Moriaty 1998)
- The element of the marketing communication mix that is non personal paid for an identified sponsor, & disseminated through channels of mass communication to promote the adoption of goods, services, person or ideas. (Bearden, Ingram, & Laforge 1998)
- An informative or persuasive message carried by a non personal medium & paid for by an identified sponsor whose organization or product is identified in some way. (Zikmund & D'amico 1999)
- Impersonal; one way communication about a product or organization that is paid by a marketer. (Lamb, Hair & Mc.Daniel 2000)
ทะลึ่งเอาภาษาอังกฤษมาสอน ก็ต้องเดือดร้อนแปลให้อีก....
นี่แหละครับที่ผมถึงบอกว่า
ครูทุกวันนี้จวนจะเป็นควายอยู่แล้ว คือ ต้องเคี้ยวเอื้อง บดความรู้จนละเอียด ผสมน้ำย่อย
แล้วขย้อนออกมาให้นักศึกษาอีกที ครั้นจะให้เอาไปแปลเป็นการบ้าน
ก็คาดว่านักศึกษาจะใช้กรรมวิธีสำเร็จรูป คือก้อปภาษาอังกฤษที่ให้ไป
วางแหมะ...แปะลงไป แล้วปล่อยให้โปรแกรมกูเกิ้ลกากๆ ที่รัฐบาลไทย
เสียเงินไป "สิบล้าน" พัฒนา คำแปลห่วยๆออกมาให้คนไทยใช้กัน
ซึ่งผมคิดว่ามันต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน
เลยจัดการคายเอื้อง...ออกมาสรุปให้ฟังว่า
สิ่งที่เรียกว่าโฆษณษจะต้องมีองค์ประกอบดังนี้
๑. ต้องผ่านสื่อที่ไม่ช่สื่อบุคคล ไอ้ประเภทมากระซิบกระซาบบอกต่อว่าไอเนั่นดีไอ้นี่เจ๋งน่ะ
ใช้ไม่ได้กับนิยามนี้ มันต้องผ่านสื่ออย่างทีวี / วิทยุ / หนังสือพิมพ์ / นิตยสาร
๒. ต้องจ่ายเงินด้วยนะ เมื่อจะโฆษณาผ่าน "สื่อ" แน่นอนคุณต้องมีเงิน ไม่ใช่บาทสองบาท
มันต้องมีกันเป็นล้าน จำไว้เลยว่าของที่เราซื้อๆกันอยู่เนี่ย เค้าบวกค่าโฆษณาลงไปในนั้นแล้ว
แต่มันจำเป็นต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำ คนซื้ออย่างเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันมีสินค้านี้ออกมาขาย
๓.ก็อย่างที่บอกต้องผ่านสื่อ เพราะฉะนั้นตำราเค้าเลยว่าไว้ว่า using mass media ไงเล่า
๔. ต้องมีเจ้าของสินค้าด้วยนะเอ้อ...จะมาทำเนียนโฆษณาเฉย ๆ แล้วไม่มีโลโก้เจ้าของสินค้าเนี่ยไม่ได้
ไม่งั้นจะถือว่าเป็น "โฆษณาชวนเชื่อ" หรือ Propaganda
อ่ะ..ก็พอสรุปๆ ได้ประมาณนี้ ส่วนไอ้ข้อ ๕ ข้อ ๖ ลองไปเข้ากูเกิ้ลทรานเสลด (ขากกกกกก....)
แล้วให้มันแปลดูว่า มันแปลได้กากขนาดไหน
ทีนี้ส่วนที่ ๓ ของวัน ก็คือเวลาสั่งการบ้าน
เชื่อมั้ยครับว่าผมต้องทำพาวเวอร์พ้อยต์เฟรมการบ้านนี้ด้วยความร้าวรานใจ
เพราะต้องอธิบายความกันหนักหน่วง
๑. เข้ากูเกิ้ลนะ
๒.เลือกคีย์เวิด ว่า "Print Ad" นะ
๓. เลือกภาพโฆษณาที่ชอบ + ที่ดูแล้วเข้้าใจมา ๑ ภาพนะ
๔.พริ้นท์ขนาด A4 นะ
๕.เอาที่พริ้นท์ออกมาไปติดลงบนกระดาษชานอ้อยนะ
(โอ้ววววว...พอมาถึงกระดาษชานอ้อย ต้องอธิบายกันอีกว่ามันคืออะไร เพราะยังมี
นักศึกษาบางส่วนคิดว่ามันคือ พลาสติกลูกฟูก หรือ ที่เราเรียกว่า ฟิวเจอร์บอร์ด)
เฮ้อ..เริ่มเหนื่อย
อ่ะมาต่อจากข้อ ๕
๖. ติดงานลงกระดาษอย่าให้ยับ / ย่น / เป็นรอย / มุมกระดาษติดให้สนิทนะ
๗.ชื่อนามสกุลรหัสเขียนไว้ที่ด้านหลังนะ
"อาจารย์ครับ เขียนนี่คือไม่ต้องพิมพ์ใช่ป่ะครับ"
>/////<
งั้นเอาข้อ ๗. ใหม่ ... ชื่อนามสกุลรหัส พิมพ์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์จะโน้ตบุคหรือพีซีก็ได้
ใช้ตัวอักษรสีดำ ฟ้อนต์ อังสะนานิวส์ ขนาด ๑๖ พ้อยต์ ชื่อนามสกุลอยู่บรรทัดแรก
รหัสนักศึกษาอยู่บรรทัดที่ ๒ ตัดออกมาจากกระดาษที่พริ้นท์ให้เรียบร้อย
ติดลงบนกระดาษชานอ้อยด้านหลัง ตรงมุมขวาล่าง
กาวที่ใช้ติดใช้กาวลาเท็กซ์ยี่ห้อ Gluetext
ละเอียดพอยัง????
มาถึงตอนนี้ (สั่งการบ้าน) ผมใช้เวลาในชั้นเรียนไปแล้วทั้งสิ้น ๑.๒๐ ชม.
ความอดทนในการเรียนของนักศึกษาสิ้นสุดลงไปก่อนหน้านี้ราว ๒๐ นาที (ฮา....)
ซึ่งเป็นเวลาของความอดทนเพิ่มขึ้นจากตอนเรียนมัธยมอีกตั้ง ๑๐ นาทีแน่ะ
(มัธยมเรียนเราเรียนกันคาบละ ๕๐ นาที ครูเข้าช้า ๑๐ นาที / เช็คชื่ออีก ๑๐ นาที / ไล่ตีเด็กให้นั่งที่
อีก ๑๐ นาที ตรวจการบ้าน ๑๐ นาที เหลือสอนจริง ๑๐ นาที ฮา....)
ผมรีบชิงปิดการสอนแบบมีเชิง เพราะไม่อยากเห็นนักศึกษานั่งหาว ลุกเดินเข้าห้องน้ำ
หรือดึงปลายผมมาตัดเล่นอยู่หลังห้อง
เจอกันสัปดาห์หน้าเวลาเดิม....
ดร.วรัตต์ อินทสระ
(บ่ายวันฝนตกนิดหน่อย)
ฝากโฆษณาไว้ดูเล่น ๑ ชิ้น
ภาพโฆษณาก็ธรรมดา ๆ นะครับ แต่ข้อความนี่สิ...
Congratulations to Audi for winning
South African car of the year 2006
from the winner of
World Car of the Year 2006
แล้วตบท้ายด้วยโลโก้ BMW ที่มุมขวาล่าง
ถ้าเป็นภาษวัยรุ่นก็ต้องร้องว่า
"แสร่ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด แม่ม..ทำไปได้"
อ่านแล้วยังจี๊ดเลยครับ ตั้งแต่บรรทัดแรกยันบรรทัดสุดท้าย โดยเฉพาะรูปโฆษณา BMW จี๊ดสุดๆ คิดได้ไงอะคนทำ เจ๋งโคตรๆ ยังงี้เค้าเรียกว่า
ตอบลบ" เมิงเจ๋งแค่ไหน ยังไง เมิงก็กินตรูไม่ลง " ๕๕๕+
ผมว่าพลาดกันทั้งระบบเลยครับ สำหรับการศึกษาสมัยใหม่ ตั้งแต่ประถมยันเข้ามหาลัย ดูชื่อ รมต. ศึกษาแต่ละหน่อ พอเข้ามาทำให้เด็กโง่ ลงทุกวัน ช่วยเหลือตัวเองไม่เป็น ที่แย่กว่าคือ คิดเองไม่เป็น พอเด็กโง่ก็โทษคนสอน โทษสถาบัน มันเล่นกันโคตรง่ายเลยครับอาจารย์
ตอบลบ