วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เมื่อครูเป็นควายในชั้นเรียนโฆษณา

จบชั้นเรียน "โฆษณา" วันนี้แบบเหงา ๆ เนื่องจากสังเกตเห็นแววตา "ไม่สู้" ของนักศึกษา
มันดูเนือยๆ เฉื่อยๆ ขาดความกระตือรือร้นอย่างแรง

ครั้นจะคิดว่าเป็นเพราะคนสอน "ห่วยเอง" มันก็ไม่น่าใช่ เพราะทั้งเนื้อหา / วิธีการ
มุกหยอดมุกตบ ที่ประเคยใส่ มันก็มุกเดิม ๆที่เคยปราบเซียนมาแล้วทั้งนั้น

หรือจะเป็นเพราะเจอกันครั้งแรก ยังจับทางกันไม่ถูก เอาล่ะ..ถึงจะเป็นสาเหตุอะไรก็แล้วแต่
วันนี้...ไม่ปลื้มกับชั่วโมงครึ่งในชั้นเรียนตอนบ่ายอย่างแรง

ไว้อังคารหน้าเอาใหม่...ยอมแพ้ง่าย ๆ ไม่มีวันซะหรอก !!!!

....................

เอ้า มาสรุปเนื้อหาของสัปดาห์แรกกัน สิ่งที่เคี้ยวเอื้องแล้วป้อนให้นักศึกษาวันนี้ ประกอบไปด้วย
สาระหลัก ๆ เรื่อง ๓ นั่นก็คือ

๑. Differentiate or Die แปลภาษาแบบวัยโจ๋ว่า ถ้าแตกต่างไม่ได้ก็จงไปตายซะ
ซึ่งมันเป็นพื้นฐานแรกของคนที่จะเข้ามาสู่วงการโฆษณาที่ต้องใช้ ความสร้างสรรค์ จินตนาการ
เพื่อสร้างความแตกต่างให้ได้


ดูเอาก็แล้วกันครับ เป็ดดำทั้งเล้า สู้เป็ดขาวตัวเดียวก็ไม่ได้ อันนี้มองในมิติของความแตกต่างนะครับ
หรือจะลองดูอีกสักตัวอย่าง เรื่องของคนทั้ง ๖ คนนี้ก็แล้วกัน
ใครแตกต่าง ใครน่าเบื่อเห็นกันชัดๆลูกกะตาแล้ว ความเข้าใจเบื้องต้นของคนเรียนโฆษณา
จึงต้องเริ่มต้นด้วยการปรับทัศนะให้นักศึกษามองโลกให้แตกต่าง

ธุรกิจหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ
อย่างยิ่ง คือ ผลิตผลของสตีฟ จ๊อบส์

ใช่แล้วครับ...แมคอินทอช ไอพอด ไอโฟน ไอแพด
สินค้าตราลูกแอบเปิ้ล สร้างแรงสะเทือนให้โลก ได้ลึกซึ้งถึงความหมายของคำว่า

"ความแตกต่าง" ระดับ ๙.๘ ริกเตอร์
ม็อตตโต้ของแอบเปิ้ลพี่แกยังคิดอกมาว่า

Think Different เลยนะ

เมื่อมาถึงตรงนี้ ผมเลยจัดการสร้างความแตกต่างให้ชั้นเรียนนี้ทันที
ด้วยอัตราส่วนของคะแนนเก็บและคะแนนสอบปลายภาค

81:19 คะแนน

โดยเนื้อแท้แล้วมันไม่ได้แตกต่างอะไรจาก 80:20 หรือ 70:30 ที่คุ้นเคยกันหรอก
แต่สิ้นสุดคำประกาศ คะแนนเก็บ 81 คะแนนสอบ 19 นักศึกษาน่าจะความเข้าใจเรื่องการสร้างความ
แตกต่างได้ ใสปิ๊ง!!! ยิ่งขึ้น

อย่างน้อย..มันก็เรียกเสียง ครางฮือได้ ๓๐ วินาทีล่ะน่า

เนื้อหาส่วนที่ ๒ ผมเลือกคำนิยามของ โฆษณาให้นักศึกษา "จด" (และผมเชื่อว่าเค้าไม่มีทางจำได้)
ขออนุญาตคัดลอกมาทั้งดุ้น

  1. The non-personal communication of information usually paid for & usually persuasive in nature, about products (goods & services) or ideas by identified sponsor through various media. (Arenes 1996)
  2. Any paid form of non-personal communication about an organisation, product ,service, or idea from an identified sponsor. (Blech & Blech 1998)
  3. Paid non-personal communication from an identified sponsor using mass media to persuade influence an audience. (Wells, Burnett, & Moriaty 1998)
  4. The element of the marketing communication mix that is non personal paid for an identified sponsor, & disseminated through channels of mass communication to promote the adoption of goods, services, person or ideas. (Bearden, Ingram, & Laforge 1998)
  5. An informative or persuasive message carried by a non personal medium & paid for by an identified sponsor whose organization or product is identified in some way. (Zikmund & D'amico 1999)
  6. Impersonal; one way communication about a product or organization that is paid by a marketer. (Lamb, Hair & Mc.Daniel 2000)

ทะลึ่งเอาภาษาอังกฤษมาสอน ก็ต้องเดือดร้อนแปลให้อีก....

นี่แหละครับที่ผมถึงบอกว่า

ครูทุกวันนี้จวนจะเป็นควายอยู่แล้ว คือ ต้องเคี้ยวเอื้อง บดความรู้จนละเอียด ผสมน้ำย่อย
แล้วขย้อนออกมาให้นักศึกษาอีกที ครั้นจะให้เอาไปแปลเป็นการบ้าน
ก็คาดว่านักศึกษาจะใช้กรรมวิธีสำเร็จรูป คือก้อปภาษาอังกฤษที่ให้ไป
วางแหมะ...แปะลงไป แล้วปล่อยให้โปรแกรมกูเกิ้ลกากๆ ที่รัฐบาลไทย
เสียเงินไป "สิบล้าน" พัฒนา คำแปลห่วยๆออกมาให้คนไทยใช้กัน

ซึ่งผมคิดว่ามันต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน

เลยจัดการคายเอื้อง...ออกมาสรุปให้ฟังว่า

สิ่งที่เรียกว่าโฆษณษจะต้องมีองค์ประกอบดังนี้

๑. ต้องผ่านสื่อที่ไม่ช่สื่อบุคคล ไอ้ประเภทมากระซิบกระซาบบอกต่อว่าไอเนั่นดีไอ้นี่เจ๋งน่ะ
ใช้ไม่ได้กับนิยามนี้ มันต้องผ่านสื่ออย่างทีวี / วิทยุ / หนังสือพิมพ์ / นิตยสาร

๒. ต้องจ่ายเงินด้วยนะ เมื่อจะโฆษณาผ่าน "สื่อ" แน่นอนคุณต้องมีเงิน ไม่ใช่บาทสองบาท
มันต้องมีกันเป็นล้าน จำไว้เลยว่าของที่เราซื้อๆกันอยู่เนี่ย เค้าบวกค่าโฆษณาลงไปในนั้นแล้ว
แต่มันจำเป็นต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำ คนซื้ออย่างเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันมีสินค้านี้ออกมาขาย

๓.ก็อย่างที่บอกต้องผ่านสื่อ เพราะฉะนั้นตำราเค้าเลยว่าไว้ว่า using mass media ไงเล่า

๔. ต้องมีเจ้าของสินค้าด้วยนะเอ้อ...จะมาทำเนียนโฆษณาเฉย ๆ แล้วไม่มีโลโก้เจ้าของสินค้าเนี่ยไม่ได้
ไม่งั้นจะถือว่าเป็น "โฆษณาชวนเชื่อ" หรือ Propaganda

อ่ะ..ก็พอสรุปๆ ได้ประมาณนี้ ส่วนไอ้ข้อ ๕ ข้อ ๖ ลองไปเข้ากูเกิ้ลทรานเสลด (ขากกกกกก....)
แล้วให้มันแปลดูว่า มันแปลได้กากขนาดไหน

ทีนี้ส่วนที่ ๓ ของวัน ก็คือเวลาสั่งการบ้าน
เชื่อมั้ยครับว่าผมต้องทำพาวเวอร์พ้อยต์เฟรมการบ้านนี้ด้วยความร้าวรานใจ
เพราะต้องอธิบายความกันหนักหน่วง

๑. เข้ากูเกิ้ลนะ
๒.เลือกคีย์เวิด ว่า "Print Ad" นะ
๓. เลือกภาพโฆษณาที่ชอบ + ที่ดูแล้วเข้้าใจมา ๑ ภาพนะ
๔.พริ้นท์ขนาด A4 นะ
๕.เอาที่พริ้นท์ออกมาไปติดลงบนกระดาษชานอ้อยนะ

(โอ้ววววว...พอมาถึงกระดาษชานอ้อย ต้องอธิบายกันอีกว่ามันคืออะไร เพราะยังมี
นักศึกษาบางส่วนคิดว่ามันคือ พลาสติกลูกฟูก หรือ ที่เราเรียกว่า ฟิวเจอร์บอร์ด)

เฮ้อ..เริ่มเหนื่อย

อ่ะมาต่อจากข้อ ๕

๖. ติดงานลงกระดาษอย่าให้ยับ / ย่น / เป็นรอย / มุมกระดาษติดให้สนิทนะ
๗.ชื่อนามสกุลรหัสเขียนไว้ที่ด้านหลังนะ

"อาจารย์ครับ เขียนนี่คือไม่ต้องพิมพ์ใช่ป่ะครับ"

>/////<


งั้นเอาข้อ ๗. ใหม่ ... ชื่อนามสกุลรหัส พิมพ์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์จะโน้ตบุคหรือพีซีก็ได้
ใช้ตัวอักษรสีดำ ฟ้อนต์ อังสะนานิวส์ ขนาด ๑๖ พ้อยต์ ชื่อนามสกุลอยู่บรรทัดแรก
รหัสนักศึกษาอยู่บรรทัดที่ ๒ ตัดออกมาจากกระดาษที่พริ้นท์ให้เรียบร้อย
ติดลงบนกระดาษชานอ้อยด้านหลัง ตรงมุมขวาล่าง

กาวที่ใช้ติดใช้กาวลาเท็กซ์ยี่ห้อ Gluetext

ละเอียดพอยัง????

มาถึงตอนนี้ (สั่งการบ้าน) ผมใช้เวลาในชั้นเรียนไปแล้วทั้งสิ้น ๑.๒๐ ชม.
ความอดทนในการเรียนของนักศึกษาสิ้นสุดลงไปก่อนหน้านี้ราว ๒๐ นาที (ฮา....)
ซึ่งเป็นเวลาของความอดทนเพิ่มขึ้นจากตอนเรียนมัธยมอีกตั้ง ๑๐ นาทีแน่ะ
(มัธยมเรียนเราเรียนกันคาบละ ๕๐ นาที ครูเข้าช้า ๑๐ นาที / เช็คชื่ออีก ๑๐ นาที / ไล่ตีเด็กให้นั่งที่
อีก ๑๐ นาที ตรวจการบ้าน ๑๐ นาที เหลือสอนจริง ๑๐ นาที ฮา....)

ผมรีบชิงปิดการสอนแบบมีเชิง เพราะไม่อยากเห็นนักศึกษานั่งหาว ลุกเดินเข้าห้องน้ำ
หรือดึงปลายผมมาตัดเล่นอยู่หลังห้อง

เจอกันสัปดาห์หน้าเวลาเดิม....

ดร.วรัตต์ อินทสระ
(บ่ายวันฝนตกนิดหน่อย)

ฝากโฆษณาไว้ดูเล่น ๑ ชิ้น


ภาพโฆษณาก็ธรรมดา ๆ นะครับ แต่ข้อความนี่สิ...

Congratulations to Audi for winning
South African car of the year 2006

from the winner of
World Car of the Year 2006

แล้วตบท้ายด้วยโลโก้ BMW ที่มุมขวาล่าง

ถ้าเป็นภาษวัยรุ่นก็ต้องร้องว่า

"แสร่ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด แม่ม..ทำไปได้"






2 ความคิดเห็น:

  1. อ่านแล้วยังจี๊ดเลยครับ ตั้งแต่บรรทัดแรกยันบรรทัดสุดท้าย โดยเฉพาะรูปโฆษณา BMW จี๊ดสุดๆ คิดได้ไงอะคนทำ เจ๋งโคตรๆ ยังงี้เค้าเรียกว่า
    " เมิงเจ๋งแค่ไหน ยังไง เมิงก็กินตรูไม่ลง " ๕๕๕+

    ตอบลบ
  2. ผมว่าพลาดกันทั้งระบบเลยครับ สำหรับการศึกษาสมัยใหม่ ตั้งแต่ประถมยันเข้ามหาลัย ดูชื่อ รมต. ศึกษาแต่ละหน่อ พอเข้ามาทำให้เด็กโง่ ลงทุกวัน ช่วยเหลือตัวเองไม่เป็น ที่แย่กว่าคือ คิดเองไม่เป็น พอเด็กโง่ก็โทษคนสอน โทษสถาบัน มันเล่นกันโคตรง่ายเลยครับอาจารย์

    ตอบลบ