วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตำนานนกกระจิบกับพญาแรด

เสียงนกกระจิบร้องระงมหน้าสำนักทะเบียนของมหาวิทยาลัยสอนนกกระจิบ เช้าวันนี้...นกกระจิบหลายตัวต้องการลงทะเบียนเรียนวิชา “การออกแบบรัง” บางตัวก็อยากเรียน “วาทวิทยาการกระจิบ” เพื่อเอาสาระของวิชาไปเม้าท์มอย จีบหงส์ขาวที่อาศัยอยู่สวนอ้อยควั่นฝั่งตรงข้าม

เสียงจอแจดังระงมตั้งแต่เช้า ซึ่งเวลาเช้าอย่างนั้นปกติยังเป็นเวลานอนของกระจิบน้อยๆ ที่เพิ่งสลัดขนหัดบินได้ ๒-๓ ปี

การลงทะเบียนเป็นไปด้วยความวุ่นวายอย่างยิ่ง วุ่นวายขนาดปลาช่อนหลายตัว ถูกช้อนจับไปทุบหัวแกล้มเหล้าสังเวย (เป็นที่มาจนเกิดสุภาษิตวุ่นวายขายปลาช่อนไง ) ที่มันวุ่นวายเพราะ "พญาแรด" ที่ทำหน้าที่รับลงทะเบียน พยายามใช้ "นอหน้า" ไล่แทงนกกระจิบที่อยู่ในสภาพตาปรือเพราะตื่นเช้า ไม่รู้เรื่องรู้ราว เมื่อประกอบกับ “ภาษานกกับภาษาแรด” นั้นมันคนละภาษา กว่าจะเจรจากันรู้เรื่อง ปลาช่อนที่ยังเหลืออยู่ในบ่อก็ถูกช้อนไปจนเรียบ


นกกระจิบบินว่อน ร้องระงมเมื่อความฝันจะลงวิชาออกแบบรัง มลายหายไปพร้อมกับน้ำค้าง หยดสุดท้ายก่อนตะวันจะตรงหัวนิดหน่อย เมื่อออกแบบรังลงทะเบียนเรียนไม่ได้ ก็หันไปจุ๊บจิ๊บๆกับเพื่อนนก “กูจะลงออกแบบเวปไซต์แทน มึงจะลงด้วยป่าว “แสรดดดดด เมิงดูชื่อพ่อนกแม่นกที่จะสอนก่อนนะเว้ย เกิดไปเจอเจอแม่นกธรรมะธัมโม เมิงได้ไปออกแบบเวปไซต์ตามวัดนะเว้ย” สองนกมองตากันแล้วพยักหน้าหงึกหงัก ชะตากรรมของสองนกจะเป็นอย่างไร พญาแรดไม่สนใจ เมื่อสนทนาจบก็บินปร๋อไปหาเกสรน้ำเมาย้อมใจที่สวนอ้อยควั่นนั่นเอง

ฝ่ายพญาแรดหลังจากใช้นอไล่ขวิดจนหมดรอบช่วงเช้า ก็เตรียมการแต่งหน้าทาปาก ลับนอด้วยกระดาษทรายเบอร์ที่หยาบที่สุด เตรียมถล่มเหล่านกกระจิบฝูงใหม่ในรอบบ่าย ซึ่งรอบนี้จะเป็น “ถอนขนนก” ฮึฮืออออครืดๆ ๆ ๆ เสียงหัวเราะที่น่ากลัวของเหล่าพญาแรดประสานเสียงดั่งออเคสตร้าวงใหญ่ ระหว่างรอเวลาก็นั่งปั้นหน้าพญาแรดให้เป็นหน้าพญาหงส์ไปพลางๆ

นกกระจิบฝูงใหม่ที่จะเป็นเหยื่อนอแรด บินมาโน่นแล้ว แต่คราวนี้บินมาหงอยๆ ปีกตกคอตก กระเซอะกระเซิงเพราะโดยปลายเม็ดฝนกระหน่ำทั้งปีกทั้งตัวจนเปียกปอน สภาพแบบนี้เป็นที่ถูกใจของเหล่าพญาแรดยิ่งนัก

นอแหลมพร้อมทำงาน หายใจฟืดฟาดกระทืบกีบลงพื้นปึงปัง เป็นการข่มขวัญนกกระจิบตัวเล็ก ๆ ที่ต้องการมา “ถอน” ขน เพื่อรอเวลาผลัดขนใหม่ รูปการเป็นไปเหมือนหนังม้วนเดิมไม่ผิดเพี้ยน พญาแรดพองตัวอยู่หลังกระจกพ่นลมหายใจฟืดฟาดที่กระเด็นออกมาพร้อมน้ำลายที่แตกเป็นฝอย ในตอนแรกเกือบแยกไม่ออกระหว่างน้ำลายและสายฝน แต่เมื่อนกกระจิบตั้งสติได้ต่างพร้อมใจกันสลัดขนจนตัวสั่นริกริก ขนที่จะถอนกระเด็นออกมาตัวละขน สองขน ยื่นขนที่ไม่ต้องการ “จะถอน” มอบให้พญาแรดไปจัดการเสกเป่าลงคาถาอาคม รอเวลาที่ขนใหม่จะงอกขึ้นมาใหม่

นกกระจิบหลายฝูง ทั้งฝูงเช้าและฝูงบ่าย ฝูงเย็นและฝูงค่ำ ฝูงตื่นสายฝูงตื่นเช้า ฝูงเมาและฝูงแด้นซ์ ต่างส่งสัญญาณกระจิ๊บๆบอกต่อๆกันมา ถึงพฤติกรรมพญาแรด จับกลุ่มวิจารณ์กันเซ็งแซ่บ้างก็ว่าพญาแรดต้องเป็นโรคจิต ซึ่งน่าจะเกิดจากอดีตเมื่อหลายปีก่อนถูกฝูงหมาไฮยีน่าน้ำลายยืดเจ้าของพื้นที่ภาคพื้นดินรุมชำเรา (ข่าวไม่ยินยันว่าเจอเข้าไป ในอัตราไฮยีน่า ๑๐ ต่อแรด ๑) บ้างก็ว่า “พญาแรด” ถูก “พญาควาย” ถีบไซด์คิกหัวใจห้องที่เป็นสีชมพู จนใช้การไม่ได้ ตั้งแต่การออกร่วมรบ "ชิงตารางสอน" เอ๊ยผิด ๆ ๆ ร่วมรบชิงอำนาจการเป็นผู้นำภาคพื้นกับไฮยีน่า ซึ่งเหตุการณ์ร่วมรบก่อนแตกคอกันนั้น เกิดขึ้นหลังการเสีย (ธนาคาร) กรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 หลังจากนั้นเป็นต้นมา หัวใจห้องสีชมพูที่ทำหน้าที่หัวใจบริการของ พญาแรดก็ไม่เคยกลับมาทำงานเป็นปกติอีกเลย

นกกระจิบเมื่อได้ฟังตำนานพญาแรดจากรุ่นพี่นกกระจอก จึงเข้าใจถึงเหตุผลของพฤติกรรม “ลับนอรอเสย” กับอาการ “หายใจแรงตาขวางพ่นน้ำลายเป็นสายฝน” ที่ได้เชื้อมาจากไฮยีน่า ๑๐ ต่อ ๑ นั่นเอง ต่างเวทนาไปกับความโชคร้ายของพญาแรดที่เคยเป็น “สิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ใจดี”

ส่วนพญาควาย “ที่ออกสเตปไซด์คิก” ใส่หัวใจบริการของ “พญาแรด” จนพฤติกรรมเปลี่ยนไป ก็ต้องชดใช้ด้วยการถูกถอดยศพญา กลายเป็นไอ้ควายธรรมดา ๆ เมื่อตายไป จึงเข้าไปสิงอยู่ในสมองของพญาแรดนับแต่บัดนั้น

นี่จึงเป็นที่มาของ “สมองหมาปัญญาควาย” คำนี้นี่เอง (ซาวด์ทีวีแชมป์เปี้ยน)

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ทุกเรื่องมีที่มา มองทุกอย่างอย่างเมตตาแล้วจะเป็นสุข”

นะนกกระจิบนะ


นิทานเรื่องนี้เล่าเพื่อความบันเทิง ขำขำสนุกๆ เป็นการซ้อมวิชาการเขียนเพื่อการโฆษณา

ซึ่งจะได้ฝึกความคิดสร้างสรรค์ + จินตนาการ เพื่อสร้างพล็อตเรื่องและพัฒนาไปสู่กระบวนการ

สร้าง synopses ต่อไป อย่าคิดมากว่าจะไปกระทบใครเน้อ...


1 ความคิดเห็น: