วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เด็กน้อยในโลกประชาธิปไตย


โอ้ววววว!!!!!

ดูสถิติการเข้าบล็อกของวันนี้เถอะครับ มันน่าม่วนซื่นโฮแซวขนาดไหน
นี่คือหนึ่งในการเรียนที่อยู่นอกห้องเรียนครับ

ขอบใจนักศึกษาทุกคนที่เห็นความสำคัญของ "กติกา" ที่เป็นส่วนหนึ่งให้สังคมของเราอยู่ร่วมกันได้

ความเห็นที่แตกต่างจากกระทู้ข้างล่าง แสดงให้เห็นว่า ทุกสังคมมีความเห็นที่แตกต่าง
และเชื่อว่าเมื่อผลออกมา คนที่อยู่ในกติกาจะยอมรับกับมัน

การเรียนวันนี้ทำให้เราได้เห็นพลังของโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ว่ามันมีความสำคัญกับการสื่อสาร
ในยุคดิจิตัลมาขนาดไหน

เชื่อมั้ยครับว่า...ข่าวเรื่องการเรียนหรือไม่เรียนที่จะมาตัดสินกันแบบประชาธิปไตยคืนนี้
เกิดจากการสนทนาเบื้องต้นกันแค่ ๒ คน

ขออนุญาตปิดแหล่งข่าวเอาไว้ก็แล้วกัน

จาก ๒ คนมันแพร่กระจายกลายเป็นมีคนอีกจำนวน ๒๓ คน รับทราบข่าวนี้
การแพร่กระจายลักษณะนี้ขอให้นักศึกษาไปค้นคว้าเพิ่มเติมเอาเองในหัวข้อ

"ทฤษฎีการแพร่กระจายนวัตกรรม"
Diffusion of Innovations Theory (DOI) ของ Everett Roger

..................................................................

เบื้องต้นทุกคนที่เข้ามาร่วมแสดงความเป็นประชาธิปไตยในคืนนี้
จะได้รับการเช็คชื่อ และใส่คะแนนลงในช่อง "ประชาธิปไตยในชั้นเรียน"
ซึ่งมีค่า ๑๐ คะแนนเต็ม


เย้!!!!!!!!!!!!!!!!!


ส่วนที่เหลืออีกเกินครึ่งที่ไม่มีโอกาสได้ลงคะแนน ก็ขอให้นักศึกษาแจ้งเพื่อน ๆ ด้วยว่า
อย่าปล่อยปละละเลยในสิ่งที่บอกตั้งแต่ชั่วโมงแรกว่า

ให้ติดตามบล็อก / ทวิตเตอร์ /หรือเฟสบุค

เพราะวันนี้ "เราต้องยอมรับมันแล้ว" ว่า โลกของการสื่อสารมันไม่ใช่แค่พูดกันเมื่อเจอเท่านั้น

เอา่ล่ะครับ.....สรุปผลการลงคะแนนวันนี้ปรากฏผลดังนี้ครับ

จากนักศึกษาทั้ง ๒ ตอนเรียน ๘๕ คน
มาใช้สิทธิ ๒๓ คน โหวตไม่เรียน ๑๔ คน และโหวตเรียน ๙ คน
นั่นหมายความว่าไม่มาใช้สิทธิ์ ๖๒ คน

ถ้าสถานการณ์จำลองคืนนี้เป็นการเมืองในภาพใหญ่ ที่กำลังจะมีการเลือกตั้ง
ในวันอาทิตย์ที่ ๓ กรฎาคมนี้ มันจะเป็นภาพที่น่ากลัวมากนะครับ

เพราะมันมีสิทธิ์ที่จะเกิดการ "ปฏิวัติ" ได้โดยง่าย ด้วยข้ออ้างไม่ใช่ผลของคนส่วนใหญ่


ซึ่งขาดไปถึง ๖๒ เสียง ซึ่งถ้าจะให้บอกความรู้สึกตรงๆ ก็คือ "รู้สึกผิดหวังกับเสียงจำนวนนั้นที่หายไป"

เป็นเพราะ...

๑.ไม่สนใจ ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ฉันตามได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว เรียนก็เรียน ไม่เรียนก็ไม่ไป

๒.หรืออาจจะเป็นเพราะเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสารว่ามีแอคทิวิตี้นี้ในคืนนี้

๓. หรืออาจเป็นเพราะใช้เทตโนโลยีในการติดตามบล็อกนี้ไม่ได้

เชื่อว่าใน ๖๒ คนนั้น จะปะปนกันไปใน ๓ กลุ่มข้างต้นนี่แหละ...
ก็ได้แค่ภาวนาว่าอย่าให้อยู่ในกลุ่มที่ ๑ มากนักเลย มันสะท้อนให้เห็นความล้มเหลว
ของการสื่อสาร การอยู่เป็นสังคม และความใส่ใจในสิ่งที่ผู้สอนพยายามเน้นให้เห็นความสำคัญ
ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่ได้เจอกัน

.................................................................

เมื่อผลเป็นเช่นนี้ ก็ต้องยอมรับกติกาของเสียงส่วนใหญ่
วันศุกร์นี้ทั้งเช้าและบ่าย "ไม่มีเรียน"

อย่าลืมว่าการไม่เรียน มีเหตุมาจากการขอไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
ดังนั้นกติกาของเรายังคงมีเรื่องที่ต้องทำกันต่อเพื่อให้ภารกิจ
ครั้งนี้สมบูรณ์ ก็คือ "ไปเลือกตั้งและแสดงหลักฐาน"

.................................................................

คนทุกคนล้วนมีบรรจุภัณฑ์ห่อหุ้มตัวเองอยู่ทั้งสิ้นครับ
บรรจุภัณฑ์ของทุกคนสวยสดงดงาม เป็นที่พึงพอใจของผู้พบเห็นแน่นอน
ข้อพิสูจน์ก็คือ....

รูปแสดงตัวของหลายคน ดูดีกว่าตัวจริงเยอะเลย

ฮา...............................


ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการเป็นหนึ่งในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
พบกันวันศุกร์หน้า ๐๙.๑๕ น. และ ๑๒.๓๐ น.

ดร.วรัตต์ อินทสระ
(คืนสุขใจที่เห็นประชาธิปไตยเบ่งบาน)

ใครอยากอ่านก็อ่านต่อนะครับ ไม่อยากอ่านก็จบไว้เพียงแค่ลายเซ็นข้างบน

ทุกครั้งที่มีคนกล่าวอ้างถึงคอนเซปต์ ประชาธิปไตย วินาทีพร้อมพยายามสอดแทรก

การรณรงค์อย่างเท่ว่าขอให้ประชาชนคนไทยเปลี่ยนแนวคิดเสียใหม่ ให้เป็นประชาธิปไตย

ผมมักจะแอบยิ้มด้วยความเห็นใจเหล่านักรณรงค์เหล่านั้นอย่างสุดซึ้ง

( ว่าแต่...เห็นใจแล้วทำไมเอ็งต้องยิ้ม? ) ที่เราร่วมตรวจสอบ ร่วมบริหารประเทศด้วยกันเถอะนะที่รัก

แม้ว่าใจผมจะเห็นด้วยกับแนวคิดนี้อย่างสุดโต่งโสล่งเป็ดก็ตาม แต่ก็ไม่วายอยากจะเสือกตัวเข้าไปวงในแล้วกระซิบที่ข้างหูเขาเบาๆไม่ได้ว่า คุณพี่ครับ อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้อย่างนั้นเลยนะครับ แต่ผมคิดว่าฝันที่เป็นจริงของพี่มันแม่งโคตรยากส์เลย

ซึ่งก็อาจจะได้รับปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการทำสีหน้านัยว่า..มาอีกแล้วเรอะนักทำลายความฝันอาชีพ

ผู้รักการโวยวายหน่ายบ่นปนหงุดหงิด แต่ไม่เคยคิดจะช่วยทำให้ดีขึ้น

(เป็นรูปแบบของสีหน้าที่แสดงออกยากมาก หากต้องการสื่อสารข้อมูลให้ครบ 555) คนถูกถามก็คงต้องอดกลั้นแล้วถามกลับไปอย่างสุภาพอ่อนโยนว่า

ทำไมมึง(น้อง)ถึงคิดเช่นนั่นเล่า?”

....โอ้ว...ผมก็คงเริ่มเผยยิ้มอย่างชัดเจนพร้อมสีหน้าที่แสดงออกให้รู้สึกว่าตัวเองได้รับชัยชนะเล็กๆ

ให้มีคนสนใจในประเด็นที่ขัดแย้งได้พร้อมไปกับการภูมิใจที่จะได้โอกาสเสนอข้อสังเกตแมนๆ

ที่ตัวเองได้แต่เก็บเป็นความลับเอาไว้ในซอกเล็บขบเป็นเวลาหลากหลายปี พร้อมเปล่งวาจา

ไปด้วยโทนเสียงนุ่มลึกน่าเกรงขามแต่แฝงความเข้มแมนราวกับออกจากปากของเฮีย อัล ปาชิโน ใน Serpico (ไอ้ภาพที่นิยมติดกันที่บังโคลนรถบรรทุกนั่นแหละ) ว่า

ก็อนาคตของชีวิตเขายังเลือกแค่ วินาที

จะไปหวังอะไรให้เขาเลือกอนาคตของประเทศด้วยเวลามากกว่านั้นละเพ่

....................................................

ขอกลับไปที่ ประชาธิปไตย วินาทีใครที่ยังไม่คุ้นกับวาทกรรมนี้ มันคือ การเปรียบเปรยว่า

ชนชาติเราให้ความสำคัญและมีส่วนร่วมกับประชาธิปไตยแค่ ๔ วินาทีเท่านั้น

วินาทีที่ ๑ รับบัตร

วินาทีที่ ๒ กาบัตร

วินาทีที่ ๓ พับบัตร

วินาทีที่ ๔ หย่อนบัตร

หลังจากนั้นอำนาจหน้าที่ถือว่าสิ้นสุด พบกันใหม่อีก ๔ ปีข้างหน้า

เป็นระบอบการปกครองแบบโอลิมปิกเกมส์ (แต่หลังๆมานี้ โอลิมปิกธิปไตยไม่เคยถึง ๔ ปีสักครั้ง T_T)

จากนั้นนักกาเหล่านั้นก็ถือว่าเลือกผู้แทนรัฐบาลมาแล้วนี่ก็ปล่อยเค้าจัดการไปสิ ๔ ปีข้างหน้า

ก็แค่เลือกใหม่ให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ทั้งๆที่ๆเรามีสิทธิ์เต็มที่ในการ ตรวจสอบ ซักถาม เรียกร้อง ประท้วง

ระหว่างการทำงานของรัฐบาลได้อย่างชอบธรรม ขึ้นอยู่กับระดับความช่างสังเกต ช่างคิด ช่างซัก

ช่างถาม ของประชาชนแต่ละท่าน

แต่เสียดายที่ประชาชนไทยส่วนใหญ่มักจะ ช่างแม่ง

ที่จำเป็นต้องช่างแม่งเพราะมีเรื่องของตัวเองที่น่าสนใจกว่า มีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องใส่ใจกว่า

มีชีวิตของตัวเองที่สำคัญมากกว่า

...ใช่แล้ว... ชีวิตของตัวเองสำคัญมากกว่า.....สำคัญที่สุดเลยเหอะ...

น่าแปลกครับ สิ่งที่คนเราคิดว่าสำคัญที่สุด แต่กลับมีคนมากกว่าครึ่งในวันนี้ที่ไม่มีความสุข

กับชีวิตของตัวเอง......จะเชื่อไหมครับถ้าผมจะบอกว่า มันมาจากการใช้แนวคิด

ชีวิตธิปไตย ๔ วินาทีนั่นแหละ

ผมจะเริ่มจากตัวอย่างที่ใกล้เคียงกันอย่างเหลือเชื่อ / ด้วยการเลือกอนาคตอย่างเป็นรูปธรรม

ครั้งแรกในชีวิตของเรา คือ การสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือ เอ็นทร๊านส์ส์ส์ส์ ที่หลอกหลอนมาในอดีต

(หรือในปัจจุบันสำหรับบางคน) นั่นเอง

หลังจากผ่านสมรภูมิสอบเป็นที่เรียบร้อย เด็กน้อยคอซองขาสั้นนั่งหน้านิ่วอยู่บนโต๊ะพร้อมดินสอในมือ

เอกสารที่อยู่ตรงหน้าเป็นช่องตัวเลือกของคณะสาขาและมหาวิทยาลัยที่เราจะต้องเลือก กา

เด็กน้อยคนนั้นคิดอะไรอยู่?

คณะอะไรดีวะ พ่อแม่เราอยากให้เข้าอะไร เพื่อนๆที่เรารักมันเลือกอะไรกันวะ สาขาอะไรนิยม

เรียนจบมีงานเปล่าวะ มหาวิทยาลัยอะไรที่เข้าไปไม่อายเขา คะแนนเราจะถึงมั๊ยนะ ตกลงกูจะเป็นอะไรวะ?

ฮา.........................

เกณฑ์ในการตัดสินใจมีอิทธิพลจากแวดล้อมภายนอกมากกว่าความต้องการภายในอยู่หลายขุมทีเดีย

ซึ่งแหม....ถึงหลายคนจะคิดมาแล้วว่าตัวเองต้องการทำอาชีพอะไรในการเลือกคณะ แต่ถามจริงๆเหอะ

เด็กน้อยคนนั้นรู้อะไรมากไปกว่า วิศวกร คือ สร้างบ้าน แพทย์ คือ หมอรักษาคนไข้รายได้ดี บัญชี คือ มีแต่ตัวเลข รัฐศาสตร์ คือ นักการเมืองบริหารธุรกิจ คือ ผู้บริหาร วิทยาศาสตร์ คือ นักวิทยาศาสตร์

นิเทศศาสตร์ คือ พวกที่สื่อสารกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง (ฮาอีกที)

เด็กน้อยคนนั้นใช้เวลากว่า ๑๒ ปีในช่วงประถมและมัธยมศึกษาในการคร่ำเคร่งเครียดตะบี้ตะบันเรียนให้

คิดเลขเก่ง อ่านภาษาอังกฤษออก ท่องสูตรเคมีได้ ผันวรรณยุกต์เป็น แต่กลับมีความเข้าใจ

ในระดับกำปั้นทุบดินกับวิชาชีพที่ต้องใช้สิ่งเหล่านี้ในอนาคต เรียนเอาเหตุ ไม่เน้นผล

ซึ่งนั่นทำให้เด็กน้อยสามารถตอบถามตัวเองว่า

โตขึ้นอยากเป็นอะไร?” ได้อย่างตื้นเขินฉิบหายอยากเป็นหมอเพราะรวย อยากเป็นวิศวกรเพราะเท่

อยากเป็นแอร์เพราะสวย อยากเป็นนักการเมืองเพราะดูมีอุดมการณ์ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการใช้ วินาที

ในการเลือกคณะ และเลือก อนาคตชีวิตที่เหลือของตัวเอง

เลือกเพียงเพราะรู้แค่นั้น เลือกไปก่อน พอเลือกได้แล้ว....ก็ ช่างแม่ง

เรียนไปสิ เลือกมาแล้ว ลองดูก่อน ชอบหรือเปล่าไม่รู้ แต่ต้องเรียนให้จบ

จะเปลี่ยนอะไรขอให้รอ โอลิมปิกแห่งชีวิตครั้งหน้า...อีก ๔ ปี

คุ้นมั้ย ๔ วินาทีแลก ๔ ปี

ภายหลังเรียนจบเด็กน้อยก็ต้องรีบออกมาหางานทำที่ไหนเขาจะรับเรานะ ทำงานตรงสายที่เรียนมานี่แหละ บริษัทไหนชื่อเสียงดีวะ เขาให้เงินเท่าไหร่วะ จะให้ทำอะไรช่างมันเหอะ ขอให้ได้เข้าไปทำก่อน

ความคิดของเด็กน้อยเหมือนจะไม่ได้โตขึ้นเลย จะมีเด็กน้อยสักกี่คนที่รู้ก่อนล่วงหน้าว่า งานที่เขาเลือกนั้นแต่ละวันจะต้องทำอะไรบ้าง ทักษะอะไรบ้างที่ต้องใช้ ความยากอยู่ที่ตรงไหน ตรงกับความชอบและความถนัดจริงๆหรือเปล่า เขาตั้งใจจะทำไปถึงเมื่อไหร่ และจากนั้นจะไปทำอะไรต่อ มันเป็นงานที่จะพาเขาไปสู่ชีวิตที่ต้องการหรือเปล่า?

ส่วนใหญ่ก็ทำงานไปเรื่อยๆ ทำงานไปวันๆ ทำงานไปงั้นๆ ทำงานไปให้มีงานทำ

ลองนับจำนวนเด็กน้อยที่บ่นว่า เบื่อ เครียด เกลียดวันจันทร์ รักวันศุกร์ดูสิ.

เด็กน้อยเริ่มไม่มีความสุขกับชีวิตที่เขาไม่ได้เรียนรู้มาก่อน ไม่ได้พิจารณาล่วงหน้า

ไม่ได้ตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ฝืนใช้ชีวิตจวบจนกระทั่งความทุกข์รวมตัวกันประท้วงขับไล่

จนก่อให้เกิดการ ปฏิวัติชีวิตและเรียกร้องการเลือกตั้งใหม่

นี่แหละครับขนาดเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต ยังไม่เต็มใจจะใช้เวลาหาข้อมูล พิจารณาทางเลือก

ประเมินความคิด ตรวจสอบเส้นทางอะไรเลย เพียงแค่รู้สึกอุ่นใจที่เลือกเส้นทางที่มั่นคง

เหมือนเด็กน้อยคนอื่นๆ แล้วจะไปหวังอะไรกับประชาธิปไตย.....

เรื่องที่เด็กน้อยคิดว่า ไกลตัวอย่างนั้น (นอกจากเด็กน้อยอยากจะเป็นนักต่อสู้ อ่ะนะ)

แล้วเลือกตั้งครั้งใหม่... เด็กน้อยจะเลือกอย่างไร? เค้าจะมีแนวคิดใหม่ๆในการเลือกชีวิต

ของเขาหรือเปล่า?

ชีวิตคือการเดินทางครับ ให้เวลากับการกำหนดเป้าหมายที่เราอยากจะไป และศึกษาเส้นทางล่วงหน้า

ก่อนออกเดินทาง ถึงจะไปช้าอย่างไรก็ไม่หลง หรือถึงจะหลงก็หลงไม่มาก...

แต่คนส่วนใหญ่ทุกวันนี้กลับให้ความสำคัญเหลือเกินกับเทคนิคการเดิน การวิ่ง เดินอย่างไรให้เร็ว

วิ่งอย่างไรให้ไม่เหนื่อย ท่าไหนสวย ท่าไหนมั่นคงทิศไหนไม่รู้....ขอกูได้เดินก่อนเถอะ

ทั้งที่ความเป็นจริงมันไม่ได้ใช้เวลาและความสามารถมากเลยกับการกำหนดพิกัดเป้าหมาย

สำรวจเส้นทาง

ผมมักจะพูดอยู่เสมอว่า เดินช้าช้าอย่างถูกทิศ ดีกว่าวิ่งสุดชีวิตแต่หลงทาง

กวาดตามองดูพี่น้องชาวไทยปัจจุบันมีคนหลงทางเยอะซะด้วย และที่น่าเศร้าคือ

โดยมากมันสายเกินกว่าจะกลับมาซะแล้ว

ผมคิดเองอย่างสั้นๆง่ายๆโง่ๆว่า ถ้าหากประเทศเราหล่อหลอมให้ประชาชนเดินแบบถูกทิศถูกทางถูกที่ได้ ความเจริญก้าวหน้าและความสามารถทางการแข่งขันของประเทศคงไปได้ไกลมากกว่าที่ใครต่อใคร

เอาแต่ประกาศก้องว่าจะเป็นเสือ เป็นมังกร เป็นหมีแพนด้า ตัวที่เท่าไหร่ของโลกก็เถอะ

ก็เข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเด็กน้อยทั้งหลายเองก็ไม่ได้รับการปลูกฝังให้กำหนดแผนที่ชีวิต

และวิ่งเข้าหาข้อมูลพื้นที่ด้วยตัวเอง ซ้ำร้ายยังขาดแคลนระบบและการสื่อสารให้ศึกษาเชิงลึก

ถึงเส้นทางในอนาคตต่างๆอย่างง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่ใช่ว่าจะเริ่มไม่ได้

ฉะนั้นขอฝากไว้สำหรับเด็กน้อยที่กำลังจะมีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรก และเด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่ทุกท่าน

ผมคิดว่าถึงเวลาที่เราจะให้เวลากับความคิดเหล่านี้อย่างจริงจังได้แล้ว เพื่อป้องกันความเสียดาย

ที่จะเกิดขึ้นกับเวลาชีวิตที่เหลืออยู่


เฮ้!!!

ส่วนเด็กไม่น้อยทั้งหลายแหล่ ที่ได้ให้ความสำคัญกับการเลือกมาตลอดและคิดว่าสิ่งที่ผมบอกนั้น

มันไม่เห็นจะจริงเอาซะเลย ก็ขอแสดงความยินดีอย่างจริงใจด้วยนะครับ

ที่คุณได้ผ่านการเลือกชีวิตของคุณอย่างพิถีพิถัน และเริ่มทำมันให้เป็นความจริงเรียบร้อยแล้ว

แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร

เหนือสิ่งอื่นใดคุณคือเพชรเม็ดหนึ่งของสวนดุสิต จะนอนนิ่งในโคลน หรือพร้อมจะถูกหยิบออกมาเจียรไน


(บ่นบ้าไปตามประสา)

๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔







อาจารย์พรุ่งนี้เรียนป่ะ ? คำตอบอยู่ในนี้

ซื้อหวยก็ถูก นึกแล้วเชียวว่าจะต้องมี "ใครบางคน" ส่งสารมาถามว่า

"จารย์พรุ่งนี้เรียนป่ะ" แล้วตามด้วย

"จะกลับบ้านไปเลือกตั้ง"

อันนี้เรียกว่ารู้สิทธิ์แต่ไม่รู้หน้าที่ ฮา.............

เอาล่ะ ๆ พยายามเปิดธรรมนูญการเรียนเพื่อโหนกระแสเลือกตั้งก็พบว่า
"มหาวิทยาลัยต้องสนับสนุนการกระทำอันเป็นประชาธิปไตยให้เห็นอย่างเด่นชัด"

ง่า...เข้าทางล่ะ ดังนั้นวันศุกร์นี้ เสาร์นี้ ถ้ามีเรียนเราจะตั้งหน่วยเลือกตั้งกันในห้องเรียน
แล้วหย่อนบัตรเลือกตั้งกันเลย

แฮ่..ขืนทำแบบนั้นจริง ๆ คงได้เห็นดร.วรัตต์ พิมพ์มือติดคุกกันก็คราวนี้หล่ะ

....................................................

สำหรับนักศึกษาที่เรียนการสื่อสารบนบรรจุภัณฑ์ วันศุกร์ที่ ๑ กรกฏาคม ๒๕๕๔
ทั้งภาคเช้าและภาคบ่าย ขอบอกให้พวกท่านทราบว่า การจะเรียนหรือไม่เรียนนั้น
ขึ้นอยู่กับการลงคะแนนเสียงเพื่อให้ห้องเรียนเป็นประชาธิปไตย ฮา............

(ลากเข้ามาจนได้)

ทุกคนมีสิทธิ์โหวตได้ ๑ เบอร์จากเงื่อนไขง่าย ๆ

ถ้าเลือกเบอร์ ๑ หมายถึง ไปเรียน
ถ้าเลือกเบอร์ ๒ หมายถึง ไม่ไปเรียน
ทีนี้ก็จะมีพวกที่ โนโหวต< ซึ่งพวกนี้น่าจะเยอะนะ เพราะไม่ได้สนใจชาวบ้านชาวช่อง
ว่าเค้ามีบล็อกนี้ไว้ให้ติดตามข่าวสาร อ่านทบทวน (เสริมความรู้ที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว)
ให้มีมากยิ่งขึ้น เป็นการช่วยเหลือนักศึกษาที่ไม่ได้เข้าเรียน
หรือเข้าเรียนแต่เข้าไปนั่งมึนงง แคะเล็บ เล็มปลายผมอยู่ในห้อง

ดังนั้น สมมติฐานของ ประชาธิไตย เรื่อง จะเรียนหรือไม่เรียน
"พวกนอนหลับทับสิทธิ์" น่าจะเยอะ (ไม่เชื่อคอยดูดิ)

เอาล่ะกลับมา "อินเทรนด์" in trend เรื่องของเราก่อน
(ปล. in trend แปลว่า ตามสมัยนิยมนะครับ ไม่ใช่ in train ที่แปลว่า อยู่ในรถไฟ
ไม่น่าเชื่อว่ายังจะมีคนที่พูดอย่างแรกแต่แปลอย่างหลังอยู่ในโลกนี้อีก ฮา.......)

กลับมาอินเทรนด์เรื่องของเรา หลักการ คือ การที่จะเรียนหรือไม่เรียนในวันศุกร์นี้
เน้นความเป็นประชาธิปไตย วิธีการก็คือ..

เมื่ออ่านบล็อกนี้จบแล้ว ให้เลื่อนสายตาลงไปข้างล่าง จะเห็นช่องแสดงความคิดเห็น
ให้เขียนลงไปในนั้น ด้วยข้อความต่อไปนี้.

บรรทัดแรกใส่รหัสประจำตัวนักศึกษา < มีค่าเท่าการตรวจบัตรประชาชน
บรรทัดที่สอง เขียนว่า "เลือกเบอร์........ < ก็เลือกเบอร์ที่ตัวเองรัก เลือกพรรคที่ตัวเองชอบใส่ลงไป
ในที่นี้ คือ ๑ หรือ ๒ เท่านั้นนะ (อย่าบื้อ)
บรรทัดที่สาม ให้เขียนว่าเวลาลงคะแนน และให้ลงเวลา ที่เป็นปัจจุบันตอนเข้ามาแสดงความคิดเห็น

ดังนั้นการแสดงความคิดเห็นในช่องข้างล่างโน่น จะมีหน้าตาแบบนี้

52122760001
เลือกเบอร์ 2
เวลาลงคะแนน 18.26 น.

ถ้าได้แบบนี้ถือว่านับ ๑ เสียง
ถ้าไม่ใช่แบบนี้ ถือว่า บัตรเสีย ไม่นับคะแนน

เปิดลงคะแนนตอน ๒๐.๐๐ ปิดหีบลงคะแนนเสียงเวลา ๒๓.๕๙ น.

ซึ่งจะใช้วิธีดูไทม์ไลน์จากคนที่มาลงคะแนนไล่ๆกันมานั่นแหละ

ประกาศผลไม่เกิน ๐๑.๓๐ ของคืนนี้ (ว่าจะเรียนหรือไม่เรียน)

นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนวิชานี้ทั้ง ๒ ตอนเรียน มีทั้งหมด ๘๕ คน
มีสิทธิ์ลงคะแนนทุกคน

เราจะมาลุ้นและมาดูกันว่า ประชาธิไตยในชั้นเรียนครั้งนี้

เรียน
ไม่เรียน
หรือจะเจอพวกนอนหลับทับสิทธิ์มากกว่ากัน
ลงคะแนนกี่คนจาก ๘๕ คน

พวกที่จะลงคะแนนได้ หรือแสดงความคิดเห็นได้ ต้องสมัครเป็นผู้ติดตามซะก่อนนะครับ
ไม่อย่างนั้นมันจะแสดงความคิดเห็นไม่ได้

ฮา......นี่เป็นการกระชากเรตติ้งของบล็อกนี้ให้ทะยานเกิน ๑๐,๐๐๐ วิว (ตอนนี้มีอยู่ ๙,๐๗๓ วิว)
และเป็นการวิจัยชั้นเรียนเรื่องการใช้เทคโนโลยีเพื่อการแสวงหาความรู้ภายนอกชั้นเรียน
ควบคู่ไปด้วย

...............................................................

โจทย์ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น
ถ้าผลของการลงคะแนนปรากฏว่า "ไม่เรียน" แล้วล่ะก็ ให้กลับไปดูข้ออ้างข้างบนอีกทีว่า

"จารย์พรุ่งนี้เรียนป่ะ" > "จะกลับบ้านไปเลือกตั้ง"

ถ้าผลออกมาว่า "ไม่เรียน" ก็หมายความว่าหยุดเรียน >///<

วันที่ไปเลือกตั้ง "ต้องแสดงหลักฐานว่าไปเลือกตั้งมาจริง" เช่น
การฉีกบัตรเลือกตั้งให้เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์
หรือ
เอาบัตรมากานอกคูหา
หรือ
ถ่ายรูปตอนลงจากรถปิคอัพที่ขนมากันทั้งหมู่บ้าน
หรือ
รูปตอนรับเงินขายเสียงจากนักการเมืองมาแสดง

ฮา....ไม่ต้องทำขนาดนั้นนะครับ ทั้งหมดนั้นเรียกว่าประชด

ขอหลักฐานว่าไปเลือกตั้งมาจริง ๆ เช่น ถ่ายรูปเท่ๆหน้าคูหาเลือกตั้ง
หรือบรรยากาศสถานที่เลือกตั้ง ที่มีรูปเราติดอยู่ในเฟรมด้วยนะ
(น่าจะทำได้นะ เพราะอีดาราทั้งหลายกว่าจะหย่อนบัตรลงหีบ ก็บิดแล้วบิดอีก
จนช่างภาพพอใจ)

นั่นแหละถึงจะเรียกว่า เรียนก็เป็นประชาธิปไตย ไปลงเลือกตั้งก็แสดงหน้าที่ของประชาชนไทย

.....................................................


ถ้าผลออกมาว่าไปเรียน ก็ง่ายมาก เจอกันที่ห้องเรียน

จบมั้ย!!!!!!

ดร.วรัตต์ อินทสระ
(วันเบ่งบานประชาธิปไตย)

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ต้มยำกุ้ง / ต้มโคล้ง/ ต้มแช่บ / ต้มเปรตปลาไหล / ต้มยำเห็ดฟาง / เขียวหวาน / ข่าไก่

เรื่องเล่าหลังห้องเรียนมาช้ากว่าปกติ

แต่ก็ยังมานะ....เข้าทำนองมาช้าดีกว่าไม่มา แต่นักศึกษาบางคนอาจคิดว่า
ไม่มาก็ได้ จะได้ไม่ต้องตามอ่าน ถ้าใครคิดแบบนี้ขอบอกว่า จะตามหลอกลอนโดยการ
บังคับให้อ่านก่อนสอบ ฮาาาาาาา....

เอาเรื่องของห้องเรียนโฆษณาล่ะกันนะ อังคารที่ผ่านมานัดกันเรียนตอนเที่ยงครึ่ง
ซึ่งก็คลับคล้ายคลับคลาว่าบอกนักศึกษาไปแล้ว แต่เพื่อความมั่นใจจึงโทร.หาหัวหน้าห้อง

"อาจารย์วรัตต์นะ วันนี้เราเรียนกันเที่ยงครึ่งใช่ป่ะ"

"บ่ายโมงครับ"

เง้อ......หรือเราจะจำผิดเอง เอาล่ะบ่ายโมงก็บ่ายโมง ตอนนั้นเวลาเที่ยงยี่สิบ
ก็เลยชิวๆ ไปนั่งกินซากไก่กับซากผักที่โฮมเบอเกอรี่ ทำไมเรียกแบบนั้นขอให้ท่านทั้งหลาย
ไปพิสูจน์เอาเอง

เดินขึ้นห้องสอนปรากฏว่ารักศึกษาเต็มห้องอีกแล้ว

"เอ้า...ทำไมมากันเร็วจริง"

ประสานเสียงพร้อมกันตอบกลับดั่งออเคสตร้าวงใหญ่

"อาจารย์มาช้า"

หง่ะ...เอาล่ะสิ ลางสังหรณ์ว่านัดเที่ยงครึ่งเป็นจริง สรุปว่าเดี๋ยวต้องไปจัดการกับ
หัวหน้าห้องที่สื่อสารผิดพลาด ไม่รู้เป็นไงไอ้พวกที่เรียนนิเทศฯ เรียนการสือสารเนี่ย!!!
มักจะสื่อสารกับคนอื่นไม่ค่อยรู้เรื่อง ฮา.....

วันนี้ห้องเรียนแปลกหูแปลกตามาก อันเนื่องมาจากว่าผมให้นักศึกษาแต่งชุดไพรเวท
คือ ใครแต่งชุดนักศึกษามาวันนี้ ไล่ออกจากห้องไปเลย (โหดป่ะล่ะ)

มันมีสาเหตุครับ เพราะเนื้อหาวันนี้ผมจะใส่เรื่องครีเอทีฟ ซึ่งผมคิดว่าเริ่มจากการแต่งตัวของ
นักศึกษานี่แหละ ถือเสียว่าปลดปล่อยความอยากของนักศึกษา (ที่ไม่ค้อยปลื้มกัุบชุดนักศึกษา) +
เอาชุดที่แต่งมานั่นแหละเป็นสื่อการสอน (คริคริ)

ผมจึงได้เห็นเด็กฮิปฮอป / เด็กชนบท / เด็กเซ็กซี่ / เด็กสีสันสุดฤทธิ์ มานั่งเรียนปะปนกันอยู่ในห้อง
บรรยากาศเหมือนห้องเรียนเมืองนอกไม่มีผิด

ผมเริ่มทักทาย นักศึกษาที่เริ่มจะหลับตั้งแต่ยังไม่เรียน ว่า

"คุณคิดได้ไงแต่งตัวมาแบบนี้ เสื้อนอกลายเสือ เสื้อในสายเดี่ยว กางเกงสั้น รองเท้าส้นเตี้ย
มั่นใจแล้วเหรอว่าดูดี"

ฮา........

ทำเอานักศึกษาที่ถูกทักหมดความมั่นใจไปเยอะ แต่ก็รวมพลังตอบกลับมาว่า

"มั่นมากค่ะ"

ผมทักนักศึกษาอีกหลายคน จากชุดที่เค้าแต่งมานั่นแหละ เพื่อสรุปว่า

"ครีเอทีฟมันเกิดขึ้นได้ทุกเวลา เราเองอาจไม่รู้ตัวว่ามันเกิด การแต่งตัววันนี้ทุกคนไม่ได้แต่งมามั่ว ๆ
แต่เลือกแล้ว คัดแล้ว ดูกระจกแล้ว หมุนรอบตัวหลายรอบแล้วว่าแต่งออกมาแล้วหมาไม่ไล่กัด
มันคือความคิดสร้างสรรค์ในการจับองค์ประกอบต่าง ๆ มารวมกันให้สวยงาม คนแต่งมั่นใจ
คนดูก็มั่นใจ มันก็ไม่ต่างกับการสร้างงานโฆษณาสักเท่าไหร่ คุณต้องมั่นใจในสิ่งที่คุณคิดคุณทำก่อน
ถึงจะทำให้คนอื่นมั่นใจในงานของคุณ"

ผมว่าเค้าจดไม่ทัน แต่เค้าเข้าใจ

"ครีเอทีฟมันคือการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ก็จริง แต่อย่าลืมว่าการคิดสร้างสรรค์มันยังมีเรื่อง
ของการแก้ปัญหาอยู่ด้วย"

จากนั้นผมเริ่มต้นเข้าพาวเวอร์พ้อยต์ที่ทำมาอย่างสวยงาม

เฟรมแรกปรากฏรูปภูเขาน้ำแข็งลูกเบ้อเริ่ม

ผมเปรียบเทียบให้นักศึกษาฟังว่า ครีเอทีฟดีดีในงานโฆษณา ภาพสวย ๆ ไอเดียเจ๋งๆ
ที่เราเห็นกันแล้วอ้าปากค้าง ร้องว่า "แม่งคิดได้ไงวะ" มันเหมือนกับยอดภูเขาน้ำแข็ง
แต่พื้นฐานสำคัญของครีเอทีฟ มันเริ่มต้นที่สิ่งที่คนดูโฆษณาไม่เคยมองเห็น นั่นคือ
น้ำแข็งขนาดมหึมาที่ซุกตัวอยู่ในมหาสมุทร มันทำหน้าที่รองรับ พยุง ให้ยอดภูเขา
โดดเด่นเป็นสง่า รอไททานิคพุ่งชน

สิ่งที่อยู่ให้ทะเลนั่นคือ "ข้อมูลและการจัดเรียงข้อมูล" งานออกแบบทุกอย่าง
"ต้องเริ่มต้นที่ข้อมูลที่หนาแน่นก่อน"

เหมือนกับปิรามิดที่ทนแดด ลม ฝน ทราย ได้เป็นพันปี "เพราะมีฐานที่แข็งแรง"

ข้อมูลคือรากฐานสำคัญของการออกแบบและครีเอทีฟครับ !!!!!

.....................................................

หลังจากนั้นผมเริ่มอธิบายความหมายของ Concept ซึ่งหลายคนแปลเป็นไทยว่า
"แนวความคิด" แต่ขอเถอะครับ ขอให้เปลี่ยนคำแปลเรื่องนี้ให้เป็น "ต้นทางความคิด"
จะชัดเจนกว่า ดังจะอรรถาธิบายตามความต่อไปนี้

"เดี๋ยวหมดชั่วโมงแล้วไปกินข้าวเย็นกัน"

นักศึกษาทำหน้างงเป็นหมา่สงสัย ก่อนที่ผมจะเสียตังค์เลี้ยงข้าวเย็น
เพราะหลายคนเริ่มคิดเมนูในใจ ผมสวนคำพูดไปในจินตนาการของพวกเค้าทันที

"เอ้า..ใครอยากกินอะไรบอกมา"

เขียวหวาน / ส้มตำ / สเต๊ก / ไ่ก่ย่าง / ข้าวผัดปู

นั่นหล่ะครับที่ตอบกันมา...เห็นหรือยังครับว่า สิ่งที่ทำให้คำตอบกระจัดกระจายเพราะอะไร

เพราะต้นทางความคิด Concept มันไม่ชัดเจนไงเล่า....?

งั้นเอาใหม่นะ "เย็นนี้จะพาไปกินข้าวขอเป็นอาหารไทยนะ อาหารฝรั่งกินทุกมวันหล่ะ เบื่อ"

นักศึกษาตอบมาว่า เขียวหวาน / ต้มยำกุ้ง / ต้มโคล้ง / ต้มข่าไก่ / ข้าวเหนียวไก่ย่าง

ว้าวววววว!!! เห็นหรือยังครับว่า ถ้าต้นทางความคิดมันชัดเจนขึ้น คำตอบก็จะชัดแจ๋วแหวว

ลองใหม่ "เย็นนี้จะพาไปกินข้าวขอเป็นอาหารไทยรสแซ่บมีน้ำซด"

ต้มยำกุ้ง / ต้มโคล้ง/ ต้มแช่บ / ต้มเปรตปลาไหล / ต้มยำเห็ดฟาง

ชัดเลยที่นี้ชัดเลย....ทวนต้นทางความคิดทั้ง ๓ ประโยคกันอีกทีนะครับ

"เอ้า..ใครอยากกินอะไรบอกมา" / "เย็นนี้จะพาไปกินข้าวขอเป็นอาหารไทยนะ" และ

"เย็นนี้จะพาไปกินข้าวขอเป็นอาหารไทยรสแซ่บมีน้ำซด"

เมื่อต้นทางความคิดชัดเจน คำตอบก็จะชัดเจนตามไปด้วย
หลังจบประเด็นนี้ ทั้งคนสอนทั้งนักศึกษา กลืนน้ำลายเอื๊อก ๆ นึกภาพ
ต้มยำกุ้ง / ต้มโคล้ง/ ต้มแช่บ / ต้มเปรตปลาไหล / ต้มยำเห็ดฟาง / เขียวหวาน / ข่าไก่
ตามไปในจินตนาการอย่างไม่ลดละ

......................................................

นักศึกษาเริ่มจะเข้าใจคอนเซป หรือ ต้นทางความคิดบ้างแล้ว
แต่คอนเซปที่ดี มันมีคำว่า Only one message ซ่อนอยู่ด้วยนะครับ

ผมเริ่มกิจกรรมใหม่ด้วยการให้พวกเค้าบอกคอนเซปการใช้ชีวิตแชร์มาให้รู้กันหน่อย

พอดีเหลือบไปเห็นนักศึกษาคนหนึ่งยกกระจกมากรีดอายไลน์เนอร์

"คอนเซปชีวิต เช่น สวยทุกวินาที" < พร้อมยิงเลเซอร์รูปจานบิน ไปที่นักศึกษาคนนั้น

ฮา............อายไลน์เนอร์กรีดไปได้ข้างเดียว แต่สักพักก็กรีดต่อ เพราะเกรงว่าจะผิดคอนเซป

"เอาล่ะ แชร์ไอเดียเรื่องคอนเซปการใช้ชีวิตามาให้ฟังหน่อย ขอแบบ Only one message
จุดเด่นประเด็นเดียวนะครับ"

ผมเลยรู้ว่าแต่ละคนมีวิถีดำเนินชีวิตอย่างไร ถือเป็นกำไรของผู้สอนครับที่ได้รับรู้ว่า
นักศึกษาสมัยนี้นอกห้องเรียน เค้ามีเส้นทางอย่างไร คำตอบได้มาประมาณนี้ครับ

"คิดบวก / เป็นคนดี / ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน / มุ่งมั่นหาเงิน / มองโลกในแง่ดี"

ถ้านักศึกษาทำได้อย่างที่วางต้นทางความคิดในการใช้ชีวิตจริง ๆ โลกนี้คงน่าอยู่ขึ้นเยอะ
นักศึกษาเจ้าองคำตอบ เริ่มอธิบายขยายความว่า

คิดบวก เวลารถติดอย่าหงุดหงิดให้เอาหนังสือมาอ่าน เราได้ความรู้เพิ่มขึ้นด้วย
(วิ้วววววว์ ... ปรบมือ)

เป็นคนดี แค่คิดว่าจะเป็นคนดี เราก็ไม่เลวแล้ว

(วิ้วววววว?...... ปรบมืออีก)

ผมเสริมว่า.."ถ้าอย่างนั้นคนนี้ (ชี้ไปที่คนตอบเมื่อกี้) เป็นนักการเมืองไม่ได้นะ"
(วิ้วววววว์ .... ถูกใจ)

ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ถึงเราจะไม่ได้เป็นคนดีคนเก่ง แต่ต้องคิดเสมอว่าทุกอย่างที่เราทำลงไป
จะไม่มีใครมีปัญหาเพราะการกระทำ คำพูดของเรา
(วิ้วววววว ... ปรบมือฉาดใหญ่)

มุ่งมั่นหาเงิน ทำงานพร้อมกับเรียนเพื่อช่วยเหลือภาระทางครอบครัว
(อืมม์..คนนี้เด็กกตัญญู)

ต้นทางของความคิดที่ซุกซ่อนจุดเด่นประเด็นเดียว concept +Only one message
จากกิจกรรมในชั้นเรียนสนุกมั้ยล่า!!!!!

....................................................

ผมใช้เวลาสร้างบรรยากาศชั้นเรียนอยู่ ๑ ชั่วโมงเต็ม อีกชั่วโมงที่เหลือพวกเราสนุกกับ
การได้เห็น concept +Only one message ในงานโฆษณากันเต็มคราบ ผมขอยกตัวอย่าง
Print Ad. ที่ดูสนุกมาเป็นไอเดียสรุปของชั้นเรียน (นอกห้อง) วันนี้นะครับ

funny print ads

ก๊อกน้ำ : concept +Only one message สวย


พิซซ่าฮัท : concept +Only one message ร้อนตลอดเวลา

เอเวอร์เรดี้ : concept +Only one message ใช้งานได้นาน


โฟล์สวาเก้น :concept +Only one message แข็งแรง (วัสดุการผลิต)


ไบกอน :concept +Only one message กำจัดแมลง (แม้แต่ไอ้แมงมุมที่เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ยังม้วย)

funny print ads

อีกยี่ห้อหนึ่ง.... concept +Only one message กำจัดแมลงไม่เหลือ (กบกินแมลงยังต้องออกมาของานทำ ฮา...)

และนี่คือสุดยอดของ print ad


ตีความกันเอาเองเด้อจ้า

ดร.วรัตต์ อินทสระ
(วันที่คิดถึงหมูปิ้งกับซูชิ)

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เช้านี้มีความสุขจริง (เรื่องเล่าหลังห้องเรียนบรรจุภัณฑ์)

ออกแบบการสื่อสารบนบรรจุภัณฑ์ผ่านสัปดาห์ที่ ๒ ไปแล้ว

บอกไว้ก่อนนะว่า ที่เรียนตอนเช้ากับที่เรียนตอนบ่าย เนื้อหา "ไม่เหมือนกัน"

เอาล่ะสิ...คนสอนเลือกที่รักมักที่ชัง รักตอนเช้ามากกว่าตอนบ่ายหรือเปล่า ?

โหวตโนนนนนนนน เอ๊ย ... โน โน ไม่ใช่เช่นนั้น ที่สอนเนื้อหาต่างกันเพราะว่า
จะได้ประเมินสถานการณ์เนื้อหาว่าสนุกสนานเพียงพอที่จะสู้กับเดี่ยว ๙ ได้มั้ย?

คืออย่างนี้ครับ...การมี ๒ ตอนเรียน ถ้าอยากสอนสบายก็เตรียมสอนครั้งเดียว
แล้วพูดเหมือนกัน ๒ ครั้ง มันก็น่าจะดีในแง่ผู้สอนที่จะรู้ข้อบกพร่อง ทั้งในแง่ของเนื้อหา
กิจกรรมและจังหวะในช่วงเวลาต่าง ๆ ที่วางลงไปในแต่ช่วงเวลา

ซึ่งจะเกิดความชำนาญในการสอนมากขึ้น

แต่ผมเลือกจะเตรียมเนื้อหาไว้ ๒ แบบใน ๑ สัปดาห์แล้ว "เลือกใช้" ตามแบบใดแบบหนึ่ง
ตามสถานการณ์ แบบนี้คนสอนจะสนุกกับห้องเรียนทั้งตอนเช้าและบ่าย

และไม่ต้องห่วง เนื้อหาของเช้าวันนี้จะนำไปถ่ายทอดให้ตอนเรียนบ่าย
และเนื้อหาที่สอนตอนบ่ายวันนี้ จะถูกสลับไปใช้กับตอนเรียนเช้าในสัปดาห์หน้า

เห็นยัง ๆ ๆ ๆ ว่า "คนสอนจะสนุกและไม่เบื่อ" ที่ไม่ต้องพูดซ้ำกัน ๒ ครั้ง

..........

มาเข้าเรื่องราวหลังห้องกันดีกว่า ตอนเช้าวันนี้เริ่มต้นที่เวลา ๐๙.๑๗ น.
ช้ากว่าเวลานัด ๒ นาที มีเรื่องที่น่ายินดี คือ ห้องเรียนวันนี้ขึ้นป้าย sold out
ที่นั่งเต็มตั้งแต่ ๐๙.๐๐ น. นับเป็นความปลาบปลื้มยินดีเป็นกำลังใจแรงงานให้กับคนสอน
อย่างยิ่ง

มีคนซิ่งมอเตอร์ไซค์มาอย่างด่วน เพราะกลัวโดนเช็คชื่อด้วยนะเอ้า...!!!!

เนื้อหาของวันนี้ ผมให้นักศึกษาพรีเซ้นต์หน้าชั้น เกือบครบทุกคน
อ่ะนะ...โด่เอ๊ย พรีเซ้นต์หน้าชั้น ไม่เห็นแปลก / ใครคิดแบบนี้ลองไปถามนักศึกษา
ที่ต้องพรีเซ้นต์วันนี้ดูครับว่า วินาทีที่ผมบอกว่าให้พรีเซ้นต์เค้าหน้าจ๋อยเจื่อนกันขนาดไหน

ก็เพราะเป็นการพรีเซ้นต์ที่ผมไม่ได้บอกให้เตรียมข้อมูลมาก่อน

"ขอให้นักศึกษาสงบจิตใจสัก ๕ นาที หายใจลึก ๆ เพราะวันนี้จะต้องพรีเซ้นต์หน้าชั้น"

"ง่า......อ่า......เอ้อออออออ ... อุ๊ย ..."

ฮา...ให้นึกหน้าคนกำลังจะตายไว้เถอะครับ มันประมาณนั้นเลย

"เป็นไง..รู้สึกไงบ้าง รู้เหมือนกำลังจะตายมั้ย" < ดูเหมือนคนสอนอย่างผมซาดิสม์มั้ยครับ?

ที่ผมทำเช่นนี้ก็เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา การให้นักศึกษาเตรียมพรีเซ้นต์
(ที่ไม่ใช่การพรีเซ้นต์ใหญ่แบบเก็บคะแนนสัก ๒๐ คะแนน) จะเป็น "เรื่องร้าวราน" ทั้งคนสอนคนเรียนมาก

เพราะว่า...นักศึกษาจะเริ่มเตรียมงานพรีเซ้นต์ก่อนแค่วันเดียว (เชื่อผมดิ๊...วันเดียวจริงๆ)
เพราะฉะนั้นอย่ากระนั้นเลย ให้พรีเซ้นต์สด ๆ แบบนี้แหละ อย่างน้อยวิชาวาทวิทยาการโฆษณา
ที่บากบั่นเรียนกันมา ก็จะได้เอามาใช้บ้าง โดยเฉพาะในแง่มุมของการพูดเพื่อให้เกิด "จินตนาการ"

ผมหยิบเอาหลักการของ "ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง" ควายเซ็นเตอร์ อุ๊ย...Child Center >///<
มาใช้ร่วมด้วย โจทย์ของผม คือ ให้นักศึกษาเล่าถึงปกเทปและซีดีที่นักศึกษาชอบหรือประทับใจ
โดยต้องเล่าให้เพืื่อนๆ เห็นภาพว่า

"บรรยากาศของปกเทปซีดีเป็นอย่างไร / ใช้สีอะไร / ตัวนักร้องแอคชั่นแบบไหน /
มีอะไรที่น่าสนใจในปกนั้นบ้าง"

ผมเชื่อว่าการที่พวกเขาได้เลือกพูดเรื่องที่เค้าชอบ จะทำให้ "ใจ" ที่ฝ่อลงไปตอนที่รู้ว่า
ต้องนำเสนอหน้าห้อง "พองโต" กลับมาอีกครั้ง

เท่าที่จำได้พวกเค้าเลือกศิลปินนักร้องตามนี้ครับ


โว้วววว...ไชน่าดอลล์


สาวเสียงดี แปลก อย่างลุลาก็มากับเค้าด้วย


พี่ป๊อดนำทีมโมเดิร์นด๊อก มาส่องแดด ในอัลบั้มแดดส่อง

ไทรอัมพ์คิงด้อม หันหลังโชว์ผิวขาวเนียน ๆ

เอาอีกสักอัลบั้มนะ....อืมม์ ลืม ๆ ๆ ๆ อ่อ...พี่ป้างนครินทร์ก็มาด้วย

แล้วก็ยังมีเอ็นโดรฟิน / ว่านเอเอฟ๒ / บอดี้สแลม / นภพรชำนิ / ซิงกูล่าร์ / ซิลลี่ฟูล
ดีทูบี / กรูฟไรเดอร์

วงเมืองนอกก็มีนะครับ..แบลคอายพีส์ / และทูพีเอ็ม





(เว้ย....ทำไมรูปมันไม่เท่ากันอย่างแรงหว่า.....)

เอาน่า รูปจะเท่าไม่เท่าไม่รู้ ขอให้มีรูปประกอบมาก่อนเป็นเบื้องต้นละกัน
ศิลปินพวกนี้ถึงจะ "กากเกรียน" ในสายตาคนที่ไม่ชอบอย่างไร แต่เช้าวันนี้พวกเค้าทั้งหมดกำลัง
ทำหน้า "ครูผู้เงียบงัน" ในห้องสอนของผม ที่แหกปากแทนพวกศิลปินอยู่ ๒ ชั่วโมง
ขอแสดงความนับถือมา ณ โอกาสนี้

.......................................

ผมว่านักศึกษามีความสุขที่ได้พูดได้แสดงออกในสิ่งที่เค้าชื่นชอบ ระหว่างการพรีเซ้นต์
มีเรื่องสนุกๆเกิดขึ้นเป็นระยะๆ จำสีปกไม่ได้บ้าง / จำชื่ออัลบั้มไม่ได้บ้าง /
จำศิลปินที่มีมากกว่า๑คนสลับที่บ้าง

แต่ท้ายที่สุดพวกเค้าก็สามารถอธิบายภาพในจินตนาการ ที่เพื่อน ๆ หลายคนไม่เคยเห็น

แผนครึ่งแรกของผม ในเช้าวันนี้นักศึกษาจึงได้สาระของการเรียนไปหลายเรื่อง

"ทบทวนวิชาที่เกี่ยวข้อง + นักศึกษาเป็นศูนย์กลางของการเรียน + มีความสุขกับสิ่งที่กำลังทำ
+ มีความสุขกับชั้นเรียน"

สำหรับคนสอน ๒ ข้อหลังเป็นความสุขของคนที่ยืนหน้าชั้นเรียนที่สุด

ครึ่งเวลาหลัง...ปรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด
...................................

ผมให้นักศึกษาจับกลุ่มวิเคราะห์สิ่งทีืเป็นจุดร่วมของการออกแบบปกเทปหรือซีดี
มีคำถามหลัก ๆ ๓ ข้อให้พวกเค้าช่วยกันหาคำตอบ

๑. มีกี่ปกที่การออกแบบไม่สนใจศิลปินนักร้อง (จากตัวอย่างข้างบนก็จะพบว่าอัลบั้มหัวโบราณ
ของป้างนครินทร์ เข้าข่ายคำตอบนี้)

๒. การออกแบบปกใช้สีอะไรเป็นสีพื้น (ผลการรวบรวมเบื้องต้นพบว่าใช้สีดำเป็นส่วนใหญ่)

๓. มีกี่ปกที่การออกแบบไม่มีตัวอักษรใด ๆ กำกับ (พบว่ามีปก "แดดส่ิอง" ของพี่ป๊อดนั่นไง)

จริง ๆ แล้วมีคำถามอีกเยอะ ที่สามารถตั้งเป็นข้อคำถามให้นักศึกษาได้หาคำตอบ
กิจกรรมนี้ดูเผิน ๆ แล้วเหมือนไม่มีอะไรเป็นสาระ
แต่จุดมุ่งหมายจริง ๆ คือ อยากให้นักศึกษาเข้าใจเรื่อง "การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น"
ก่อนการออกแบบ

มันมีหลักการหนึ่งของคาร์เตอร์ หว่อง* (นักออกแบบอุตสาหกรรมผู้คร่ำหวอดในวงการ
มากว่า ๑๔ปี ) กล่าวไว้ว่า

"นักออกแบบต้องพบปะพูดคุยกับงานออกแบบของคนอื่นก่อน แล้วจึงค่อยลงมือทำงาน"

carter-wong

โฉมหน้าพี่หว่อง ที่ผมขอนมัสการ

โว้วววว.....สุดยอดของคำนิยาม ที่ผมพยายามหามานาน ว่าพื้นฐานของการออกแบบไม่ใช่การ
หยิบดินสอกระดาษมาขีดเขียนสเก็ตซ์ในสิ่งที่คิด แต่มันเป็นเรื่องที่ต้องค้นข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
ออกมาเพื่อตกผลึกเสียก่อน นมัสการพี่หว่องครับ.....ที่ผมได้นิยามเด็ด ๆ มาใช้สอนได้อีกหลายปี

เมื่อเริ่มวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้้นและสามารถสรุปคำตอบบางอย่างออกมาเป็นตัวเลขได้
"ห้องเรียนห้องนี้กำลังทำวิจัยเล็ก ๆ โดยที่เค้าไม่รู้ตัวว่ากำลังจะได้รู้บางสิ่งบางอย่างที่อีกหลายคนไม่รู้"

เช้าวันนี้...สนุกจนรู้สึกว่าเวลาเดินเร็ว ได้เรียน ได้รู้ ได้ทบทวน และได้รู้สิ่งใหม่ๆ ที่ตัวแทนห้องจะใส่ข้อมูลที่ค้นพบ
มาลงในบล็อกนี้ (หวังว่าอย่างนั้นนะ)

"ทบทวนวิชาที่เกี่ยวข้อง + นักศึกษาเป็นศูนย์กลางของการเรียน + มีความสุขกับสิ่งที่กำลังทำ
+ มีความสุขกับชั้นเรียน + คนเรียนมีความสุข + คนสอนมีความสุข"

อะไรมันจะสุขปานนี้

ดร.วรัตต์ อินทสระ
(วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง)


*อ่่านบทความสัมภาษณ์คาร์เตอร์ หว่องได้ถามลิ้งก์นี้

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตำนานนกกระจิบกับพญาแรด

เสียงนกกระจิบร้องระงมหน้าสำนักทะเบียนของมหาวิทยาลัยสอนนกกระจิบ เช้าวันนี้...นกกระจิบหลายตัวต้องการลงทะเบียนเรียนวิชา “การออกแบบรัง” บางตัวก็อยากเรียน “วาทวิทยาการกระจิบ” เพื่อเอาสาระของวิชาไปเม้าท์มอย จีบหงส์ขาวที่อาศัยอยู่สวนอ้อยควั่นฝั่งตรงข้าม

เสียงจอแจดังระงมตั้งแต่เช้า ซึ่งเวลาเช้าอย่างนั้นปกติยังเป็นเวลานอนของกระจิบน้อยๆ ที่เพิ่งสลัดขนหัดบินได้ ๒-๓ ปี

การลงทะเบียนเป็นไปด้วยความวุ่นวายอย่างยิ่ง วุ่นวายขนาดปลาช่อนหลายตัว ถูกช้อนจับไปทุบหัวแกล้มเหล้าสังเวย (เป็นที่มาจนเกิดสุภาษิตวุ่นวายขายปลาช่อนไง ) ที่มันวุ่นวายเพราะ "พญาแรด" ที่ทำหน้าที่รับลงทะเบียน พยายามใช้ "นอหน้า" ไล่แทงนกกระจิบที่อยู่ในสภาพตาปรือเพราะตื่นเช้า ไม่รู้เรื่องรู้ราว เมื่อประกอบกับ “ภาษานกกับภาษาแรด” นั้นมันคนละภาษา กว่าจะเจรจากันรู้เรื่อง ปลาช่อนที่ยังเหลืออยู่ในบ่อก็ถูกช้อนไปจนเรียบ


นกกระจิบบินว่อน ร้องระงมเมื่อความฝันจะลงวิชาออกแบบรัง มลายหายไปพร้อมกับน้ำค้าง หยดสุดท้ายก่อนตะวันจะตรงหัวนิดหน่อย เมื่อออกแบบรังลงทะเบียนเรียนไม่ได้ ก็หันไปจุ๊บจิ๊บๆกับเพื่อนนก “กูจะลงออกแบบเวปไซต์แทน มึงจะลงด้วยป่าว “แสรดดดดด เมิงดูชื่อพ่อนกแม่นกที่จะสอนก่อนนะเว้ย เกิดไปเจอเจอแม่นกธรรมะธัมโม เมิงได้ไปออกแบบเวปไซต์ตามวัดนะเว้ย” สองนกมองตากันแล้วพยักหน้าหงึกหงัก ชะตากรรมของสองนกจะเป็นอย่างไร พญาแรดไม่สนใจ เมื่อสนทนาจบก็บินปร๋อไปหาเกสรน้ำเมาย้อมใจที่สวนอ้อยควั่นนั่นเอง

ฝ่ายพญาแรดหลังจากใช้นอไล่ขวิดจนหมดรอบช่วงเช้า ก็เตรียมการแต่งหน้าทาปาก ลับนอด้วยกระดาษทรายเบอร์ที่หยาบที่สุด เตรียมถล่มเหล่านกกระจิบฝูงใหม่ในรอบบ่าย ซึ่งรอบนี้จะเป็น “ถอนขนนก” ฮึฮืออออครืดๆ ๆ ๆ เสียงหัวเราะที่น่ากลัวของเหล่าพญาแรดประสานเสียงดั่งออเคสตร้าวงใหญ่ ระหว่างรอเวลาก็นั่งปั้นหน้าพญาแรดให้เป็นหน้าพญาหงส์ไปพลางๆ

นกกระจิบฝูงใหม่ที่จะเป็นเหยื่อนอแรด บินมาโน่นแล้ว แต่คราวนี้บินมาหงอยๆ ปีกตกคอตก กระเซอะกระเซิงเพราะโดยปลายเม็ดฝนกระหน่ำทั้งปีกทั้งตัวจนเปียกปอน สภาพแบบนี้เป็นที่ถูกใจของเหล่าพญาแรดยิ่งนัก

นอแหลมพร้อมทำงาน หายใจฟืดฟาดกระทืบกีบลงพื้นปึงปัง เป็นการข่มขวัญนกกระจิบตัวเล็ก ๆ ที่ต้องการมา “ถอน” ขน เพื่อรอเวลาผลัดขนใหม่ รูปการเป็นไปเหมือนหนังม้วนเดิมไม่ผิดเพี้ยน พญาแรดพองตัวอยู่หลังกระจกพ่นลมหายใจฟืดฟาดที่กระเด็นออกมาพร้อมน้ำลายที่แตกเป็นฝอย ในตอนแรกเกือบแยกไม่ออกระหว่างน้ำลายและสายฝน แต่เมื่อนกกระจิบตั้งสติได้ต่างพร้อมใจกันสลัดขนจนตัวสั่นริกริก ขนที่จะถอนกระเด็นออกมาตัวละขน สองขน ยื่นขนที่ไม่ต้องการ “จะถอน” มอบให้พญาแรดไปจัดการเสกเป่าลงคาถาอาคม รอเวลาที่ขนใหม่จะงอกขึ้นมาใหม่

นกกระจิบหลายฝูง ทั้งฝูงเช้าและฝูงบ่าย ฝูงเย็นและฝูงค่ำ ฝูงตื่นสายฝูงตื่นเช้า ฝูงเมาและฝูงแด้นซ์ ต่างส่งสัญญาณกระจิ๊บๆบอกต่อๆกันมา ถึงพฤติกรรมพญาแรด จับกลุ่มวิจารณ์กันเซ็งแซ่บ้างก็ว่าพญาแรดต้องเป็นโรคจิต ซึ่งน่าจะเกิดจากอดีตเมื่อหลายปีก่อนถูกฝูงหมาไฮยีน่าน้ำลายยืดเจ้าของพื้นที่ภาคพื้นดินรุมชำเรา (ข่าวไม่ยินยันว่าเจอเข้าไป ในอัตราไฮยีน่า ๑๐ ต่อแรด ๑) บ้างก็ว่า “พญาแรด” ถูก “พญาควาย” ถีบไซด์คิกหัวใจห้องที่เป็นสีชมพู จนใช้การไม่ได้ ตั้งแต่การออกร่วมรบ "ชิงตารางสอน" เอ๊ยผิด ๆ ๆ ร่วมรบชิงอำนาจการเป็นผู้นำภาคพื้นกับไฮยีน่า ซึ่งเหตุการณ์ร่วมรบก่อนแตกคอกันนั้น เกิดขึ้นหลังการเสีย (ธนาคาร) กรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 หลังจากนั้นเป็นต้นมา หัวใจห้องสีชมพูที่ทำหน้าที่หัวใจบริการของ พญาแรดก็ไม่เคยกลับมาทำงานเป็นปกติอีกเลย

นกกระจิบเมื่อได้ฟังตำนานพญาแรดจากรุ่นพี่นกกระจอก จึงเข้าใจถึงเหตุผลของพฤติกรรม “ลับนอรอเสย” กับอาการ “หายใจแรงตาขวางพ่นน้ำลายเป็นสายฝน” ที่ได้เชื้อมาจากไฮยีน่า ๑๐ ต่อ ๑ นั่นเอง ต่างเวทนาไปกับความโชคร้ายของพญาแรดที่เคยเป็น “สิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ใจดี”

ส่วนพญาควาย “ที่ออกสเตปไซด์คิก” ใส่หัวใจบริการของ “พญาแรด” จนพฤติกรรมเปลี่ยนไป ก็ต้องชดใช้ด้วยการถูกถอดยศพญา กลายเป็นไอ้ควายธรรมดา ๆ เมื่อตายไป จึงเข้าไปสิงอยู่ในสมองของพญาแรดนับแต่บัดนั้น

นี่จึงเป็นที่มาของ “สมองหมาปัญญาควาย” คำนี้นี่เอง (ซาวด์ทีวีแชมป์เปี้ยน)

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ทุกเรื่องมีที่มา มองทุกอย่างอย่างเมตตาแล้วจะเป็นสุข”

นะนกกระจิบนะ


นิทานเรื่องนี้เล่าเพื่อความบันเทิง ขำขำสนุกๆ เป็นการซ้อมวิชาการเขียนเพื่อการโฆษณา

ซึ่งจะได้ฝึกความคิดสร้างสรรค์ + จินตนาการ เพื่อสร้างพล็อตเรื่องและพัฒนาไปสู่กระบวนการ

สร้าง synopses ต่อไป อย่าคิดมากว่าจะไปกระทบใครเน้อ...


วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โลกถล่ม...เสื้อแดงเลือกประชาธิปัตย์ ?


โว้วววว!!!! มีคำถามมาจากนักศึกษาผ่านทางเฟสบุค แต่ขอเอามาตอบมางนี้ด้วย นับเป็นคำถามแรก

ในรอบหลายปีที่นักศึกษาถามตรง กล้าถามก็กล้าตอบ ส่วนจะถูกใจหรือไม่อย่างไร เชิญแสดงความเห็นต่อ

คำถามมีอยู่ว่า

"คิดยังไงกับการที่คนไทยไปต่อแถวรอซื้อบัตรเดี่ยว 9 ซื้อคริสปี้ครีม ซื้อIpad2 ครับ???? อยากรู้ความเห็นนักวิชาการครับ"

ง่า....ขอเปลี่ยนนักวิชาการเป็นอาจารย์ธรรมดาได้มั้ย อย่าให้ได้ลงไปเกลือกลั้วกับพวกนักวิชาเกินเลย

คำตอบของคำถามมีดังต่อไปนี้

ต้องแยกไอ้โดนัทมีรู ไอแพด กับเดี่ยว 9 ออกจากกันก่อน ถ้าเอา ๓ อย่างนี้ไปขยำตอบรวมกัน ต่อให้สตีฟ จ๊อบส์ก็คงมึน ว่าจะออกผลิตภัณฑ์อะไรเพื่อตอบสนองคน ๓ กลุ่ม นี้ ครั้นจะพยายามถูไถแถตอแหลแบบพรรคการเมือง ว่าเอาวะ....รวมสินค้า ตัวนี้ แล้วออก ไอแพด 9 (Ipad 9) แบบมีรูตรงกลางก็ใช่ที่

บอกไว้ก่อน เพราะฉะนั้นถ้าจะเถียง หรือจะหือกรุณารู้พื้นฐานของคำตอบซะก่อน

เอาล่ะ...เริ่มทีละเรื่องตามลำดับก่อนหลัง คริสปี้ครีมก่อนไฟล์:KrispyKreme.png

ไอ้โดนัทยี่ห้อนี้ ลองชิมแล้ว ยอมรับว่ามันอร่อยจริง อะไรจริง เนื้อนุ่ม หวานพอดี (บางคนบอกหวานไปนิด) กัดแล้วชุ่มแป้ง อมไว้แปบนึงนี่มันทำท่าจะละลายในปากได้เลย ชื่อเสียงของคริสปี้ครีมก็มีมานมนาน ความอร่อยของมันเคยมีถึงขนาดคนรวยๆ ที่มีเวลาว่าง (มาก) บินไปฮ่องกง หอบเอาไอแป้งมีรูยี่ห้อนี้กลับมาเป็นของหวานในงานเลี้ยง

คำตอบอย่างง่าย ๆ ของคราิสปี้ครีม คือ มันเป็น แบรนด์ ที่ติดตลาดระดับโลกไปแล้ว ส่วนที่ไปเข้าคิวรอเนี่ยก็ตอบง่าย ๆ เลยว่า มันคือกลยุทธ์การขาย ที่เจ้าของสินค้าเลือกที่จะใช้วิธีขายแบบ ปากต่อปาก และ สร้างอีเว้นท์ให้คนต่อแถว (ฮา.....)

และเพิ่มคุณค่าของสินค้าด้วยการยกกล่องขาย ๑๒ ชิ้น ๓๑๕ บาทมั้ง....? (ซื้อชิ้นเดียวมันดูไพร่ไปหน่อย ฮา....
ขายยกแพคแบบนี้แหละ ขายพวกอำมาตย์ หุหุ)

ทีนี้เมื่อองค์ประกอบของโปรดักส์ (ที่ดีพอใช้) ชื่อเสียงที่สะสมเป็นแบรนด์ ใช้กลยุทธ์ "เอ้าบอกต่อๆกันมาแล้วบอกต่อๆกันไป" (ร้องเสียงพี่เต๋อเรวัติด้วยจะได้ฟีลล์ที่ดี) ที่นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดกลยุทธ์หนึ่ง และอีเว้นท์ต่อแถวให้กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ก็ไม่เห็นแปลกอะไร ที่จะมีคนจำนวนหนึ่ง ตามกระแส หรือที่เรียกว่าพวก Early Adopters พวกนี้มีพฤติกรรมชอบลองของใหม่ ชอบเป็นผู้นำ ประมาณว่ากรูได้กินแล้วเว้ย เป็นพฤติกรรมเดียวกับพวกชอบดูหนังที่เข้าโรงวันแรกนั่นแหละ กินแล้วดูแล้ว เพื่อเอาไว้คุยกับเพื่อนตอนเช้า มิเช่นนั้นคุณจะคุยกับเค้าไม่รู้เรื่อง ) , คนกลุ่มนี้มีการศึกษามีเงินและชอบความใหม่

จำเนียรกาลผ่านไปไม่นาน....หลังผ่านการต่อคิว (แบบสร้างอีเว้นท์) คริสปี้ครีม ก็กลับมาอยู่ในสภาพของสินค้า ธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่ง ตอนนี้มีใครต้องต่อแถวกินบ้างเล่า...?

อ่ะต่อมา..ไอแพด 2


สินค้าของ พี่จ๊อบส์ ผลิตออกมาเพื่อเอาเถิดเอาล่อกับพวกที่เรียกว่า Innovators คนกลุ่มนี้ที่มีอยู่ประมาณ 2.5 เปอร์เซ็นต์ ของกลุ่มพฤติกรรมผู้บริโภค คนกลุ่มนี้เป็นพวกชอบลองของใหม่ และ ต้องเป็นคนแรก เมื่อสินค้านี้มันไปตอบโจทย์ ปรากฏการณ์โลกแบน (เพราะโลกยุคนี้สื่อสารถึงกันได้รวดเร็วมากกกกกกกก) ข่าวสารแต่ละเรื่องใช้เวลาเชื่อมโยงถึงกันในระดับวินาที หรืออย่างช้าก็แค่ระดับนาที ไอแพดมันตอบสนอง

Innovators + Social Globalizations ได้แบบไม่มีข้อโต้แย้ง

ถามจริง และให้ตอบตรง ๆ นะ คุณก็เป็นคนหนึ่งที่อยากมีไอแพด ไอพอด แมคบุคกับเค้าบ้างหรือเปล่าล่ะ

ถ้าคำตอบ คือ อยากมี แต่ไม่อยากต่อคิว เพราะเห็นว่าไม่จำเป็นคุณก็เป็นพวก Early majority (อยากมีบ้างแต่ก็ไม่จำเป็นอ่ะนะ) หรือไม่ก็พวก Laggards (อืมมม์....ไม่แสวงหาว่ะ แต่มีก็ดีเหมือนกัน)

อ่ะสุดท้ายล่ะ เดี่ยว 9

คำตอบนี้ง่ายมากและหมูตู้ที่สุด มันเป็นเรื่องของแฟนคลับ แฟนใครแฟนมัน รสนิยมใครรสนิยมมัน จริตใครจริตมัน แฟนานุแฟนที่เฮียโน้สเค้าสะสมมาตั้งแต่เดี่ยว ๑-๘ นี่ไม่ใช่จำนวนขี้ ๆ เปรียบเทียบไปก็เหมือน พี่เบิร์ดมาแล้วนะจ๊ะเหมือนคาราบาว ครับพี่น้อง นั่นแหละ

แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบรสนิยมนั่งขำจากการด่าคนอื่น ให้บัตรฟรีมันก็ไม่ไปดู

เอาชัด ๆ นะ ถ้าคุณเป็นเสื้อแดง จะไปกากบาทเลือกประชาธิปัตย์หรือเปล่าล่ะวุ้ย!!!!!


ดร.วรัตต์ อินทสระ

(คืนพิมพ์งานท่ามกลางเหล่ามอสกิโต้)

เมื่อครูเป็นควายในชั้นเรียนโฆษณา

จบชั้นเรียน "โฆษณา" วันนี้แบบเหงา ๆ เนื่องจากสังเกตเห็นแววตา "ไม่สู้" ของนักศึกษา
มันดูเนือยๆ เฉื่อยๆ ขาดความกระตือรือร้นอย่างแรง

ครั้นจะคิดว่าเป็นเพราะคนสอน "ห่วยเอง" มันก็ไม่น่าใช่ เพราะทั้งเนื้อหา / วิธีการ
มุกหยอดมุกตบ ที่ประเคยใส่ มันก็มุกเดิม ๆที่เคยปราบเซียนมาแล้วทั้งนั้น

หรือจะเป็นเพราะเจอกันครั้งแรก ยังจับทางกันไม่ถูก เอาล่ะ..ถึงจะเป็นสาเหตุอะไรก็แล้วแต่
วันนี้...ไม่ปลื้มกับชั่วโมงครึ่งในชั้นเรียนตอนบ่ายอย่างแรง

ไว้อังคารหน้าเอาใหม่...ยอมแพ้ง่าย ๆ ไม่มีวันซะหรอก !!!!

....................

เอ้า มาสรุปเนื้อหาของสัปดาห์แรกกัน สิ่งที่เคี้ยวเอื้องแล้วป้อนให้นักศึกษาวันนี้ ประกอบไปด้วย
สาระหลัก ๆ เรื่อง ๓ นั่นก็คือ

๑. Differentiate or Die แปลภาษาแบบวัยโจ๋ว่า ถ้าแตกต่างไม่ได้ก็จงไปตายซะ
ซึ่งมันเป็นพื้นฐานแรกของคนที่จะเข้ามาสู่วงการโฆษณาที่ต้องใช้ ความสร้างสรรค์ จินตนาการ
เพื่อสร้างความแตกต่างให้ได้


ดูเอาก็แล้วกันครับ เป็ดดำทั้งเล้า สู้เป็ดขาวตัวเดียวก็ไม่ได้ อันนี้มองในมิติของความแตกต่างนะครับ
หรือจะลองดูอีกสักตัวอย่าง เรื่องของคนทั้ง ๖ คนนี้ก็แล้วกัน
ใครแตกต่าง ใครน่าเบื่อเห็นกันชัดๆลูกกะตาแล้ว ความเข้าใจเบื้องต้นของคนเรียนโฆษณา
จึงต้องเริ่มต้นด้วยการปรับทัศนะให้นักศึกษามองโลกให้แตกต่าง

ธุรกิจหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ
อย่างยิ่ง คือ ผลิตผลของสตีฟ จ๊อบส์

ใช่แล้วครับ...แมคอินทอช ไอพอด ไอโฟน ไอแพด
สินค้าตราลูกแอบเปิ้ล สร้างแรงสะเทือนให้โลก ได้ลึกซึ้งถึงความหมายของคำว่า

"ความแตกต่าง" ระดับ ๙.๘ ริกเตอร์
ม็อตตโต้ของแอบเปิ้ลพี่แกยังคิดอกมาว่า

Think Different เลยนะ

เมื่อมาถึงตรงนี้ ผมเลยจัดการสร้างความแตกต่างให้ชั้นเรียนนี้ทันที
ด้วยอัตราส่วนของคะแนนเก็บและคะแนนสอบปลายภาค

81:19 คะแนน

โดยเนื้อแท้แล้วมันไม่ได้แตกต่างอะไรจาก 80:20 หรือ 70:30 ที่คุ้นเคยกันหรอก
แต่สิ้นสุดคำประกาศ คะแนนเก็บ 81 คะแนนสอบ 19 นักศึกษาน่าจะความเข้าใจเรื่องการสร้างความ
แตกต่างได้ ใสปิ๊ง!!! ยิ่งขึ้น

อย่างน้อย..มันก็เรียกเสียง ครางฮือได้ ๓๐ วินาทีล่ะน่า

เนื้อหาส่วนที่ ๒ ผมเลือกคำนิยามของ โฆษณาให้นักศึกษา "จด" (และผมเชื่อว่าเค้าไม่มีทางจำได้)
ขออนุญาตคัดลอกมาทั้งดุ้น

  1. The non-personal communication of information usually paid for & usually persuasive in nature, about products (goods & services) or ideas by identified sponsor through various media. (Arenes 1996)
  2. Any paid form of non-personal communication about an organisation, product ,service, or idea from an identified sponsor. (Blech & Blech 1998)
  3. Paid non-personal communication from an identified sponsor using mass media to persuade influence an audience. (Wells, Burnett, & Moriaty 1998)
  4. The element of the marketing communication mix that is non personal paid for an identified sponsor, & disseminated through channels of mass communication to promote the adoption of goods, services, person or ideas. (Bearden, Ingram, & Laforge 1998)
  5. An informative or persuasive message carried by a non personal medium & paid for by an identified sponsor whose organization or product is identified in some way. (Zikmund & D'amico 1999)
  6. Impersonal; one way communication about a product or organization that is paid by a marketer. (Lamb, Hair & Mc.Daniel 2000)

ทะลึ่งเอาภาษาอังกฤษมาสอน ก็ต้องเดือดร้อนแปลให้อีก....

นี่แหละครับที่ผมถึงบอกว่า

ครูทุกวันนี้จวนจะเป็นควายอยู่แล้ว คือ ต้องเคี้ยวเอื้อง บดความรู้จนละเอียด ผสมน้ำย่อย
แล้วขย้อนออกมาให้นักศึกษาอีกที ครั้นจะให้เอาไปแปลเป็นการบ้าน
ก็คาดว่านักศึกษาจะใช้กรรมวิธีสำเร็จรูป คือก้อปภาษาอังกฤษที่ให้ไป
วางแหมะ...แปะลงไป แล้วปล่อยให้โปรแกรมกูเกิ้ลกากๆ ที่รัฐบาลไทย
เสียเงินไป "สิบล้าน" พัฒนา คำแปลห่วยๆออกมาให้คนไทยใช้กัน

ซึ่งผมคิดว่ามันต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน

เลยจัดการคายเอื้อง...ออกมาสรุปให้ฟังว่า

สิ่งที่เรียกว่าโฆษณษจะต้องมีองค์ประกอบดังนี้

๑. ต้องผ่านสื่อที่ไม่ช่สื่อบุคคล ไอ้ประเภทมากระซิบกระซาบบอกต่อว่าไอเนั่นดีไอ้นี่เจ๋งน่ะ
ใช้ไม่ได้กับนิยามนี้ มันต้องผ่านสื่ออย่างทีวี / วิทยุ / หนังสือพิมพ์ / นิตยสาร

๒. ต้องจ่ายเงินด้วยนะ เมื่อจะโฆษณาผ่าน "สื่อ" แน่นอนคุณต้องมีเงิน ไม่ใช่บาทสองบาท
มันต้องมีกันเป็นล้าน จำไว้เลยว่าของที่เราซื้อๆกันอยู่เนี่ย เค้าบวกค่าโฆษณาลงไปในนั้นแล้ว
แต่มันจำเป็นต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำ คนซื้ออย่างเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันมีสินค้านี้ออกมาขาย

๓.ก็อย่างที่บอกต้องผ่านสื่อ เพราะฉะนั้นตำราเค้าเลยว่าไว้ว่า using mass media ไงเล่า

๔. ต้องมีเจ้าของสินค้าด้วยนะเอ้อ...จะมาทำเนียนโฆษณาเฉย ๆ แล้วไม่มีโลโก้เจ้าของสินค้าเนี่ยไม่ได้
ไม่งั้นจะถือว่าเป็น "โฆษณาชวนเชื่อ" หรือ Propaganda

อ่ะ..ก็พอสรุปๆ ได้ประมาณนี้ ส่วนไอ้ข้อ ๕ ข้อ ๖ ลองไปเข้ากูเกิ้ลทรานเสลด (ขากกกกกก....)
แล้วให้มันแปลดูว่า มันแปลได้กากขนาดไหน

ทีนี้ส่วนที่ ๓ ของวัน ก็คือเวลาสั่งการบ้าน
เชื่อมั้ยครับว่าผมต้องทำพาวเวอร์พ้อยต์เฟรมการบ้านนี้ด้วยความร้าวรานใจ
เพราะต้องอธิบายความกันหนักหน่วง

๑. เข้ากูเกิ้ลนะ
๒.เลือกคีย์เวิด ว่า "Print Ad" นะ
๓. เลือกภาพโฆษณาที่ชอบ + ที่ดูแล้วเข้้าใจมา ๑ ภาพนะ
๔.พริ้นท์ขนาด A4 นะ
๕.เอาที่พริ้นท์ออกมาไปติดลงบนกระดาษชานอ้อยนะ

(โอ้ววววว...พอมาถึงกระดาษชานอ้อย ต้องอธิบายกันอีกว่ามันคืออะไร เพราะยังมี
นักศึกษาบางส่วนคิดว่ามันคือ พลาสติกลูกฟูก หรือ ที่เราเรียกว่า ฟิวเจอร์บอร์ด)

เฮ้อ..เริ่มเหนื่อย

อ่ะมาต่อจากข้อ ๕

๖. ติดงานลงกระดาษอย่าให้ยับ / ย่น / เป็นรอย / มุมกระดาษติดให้สนิทนะ
๗.ชื่อนามสกุลรหัสเขียนไว้ที่ด้านหลังนะ

"อาจารย์ครับ เขียนนี่คือไม่ต้องพิมพ์ใช่ป่ะครับ"

>/////<


งั้นเอาข้อ ๗. ใหม่ ... ชื่อนามสกุลรหัส พิมพ์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์จะโน้ตบุคหรือพีซีก็ได้
ใช้ตัวอักษรสีดำ ฟ้อนต์ อังสะนานิวส์ ขนาด ๑๖ พ้อยต์ ชื่อนามสกุลอยู่บรรทัดแรก
รหัสนักศึกษาอยู่บรรทัดที่ ๒ ตัดออกมาจากกระดาษที่พริ้นท์ให้เรียบร้อย
ติดลงบนกระดาษชานอ้อยด้านหลัง ตรงมุมขวาล่าง

กาวที่ใช้ติดใช้กาวลาเท็กซ์ยี่ห้อ Gluetext

ละเอียดพอยัง????

มาถึงตอนนี้ (สั่งการบ้าน) ผมใช้เวลาในชั้นเรียนไปแล้วทั้งสิ้น ๑.๒๐ ชม.
ความอดทนในการเรียนของนักศึกษาสิ้นสุดลงไปก่อนหน้านี้ราว ๒๐ นาที (ฮา....)
ซึ่งเป็นเวลาของความอดทนเพิ่มขึ้นจากตอนเรียนมัธยมอีกตั้ง ๑๐ นาทีแน่ะ
(มัธยมเรียนเราเรียนกันคาบละ ๕๐ นาที ครูเข้าช้า ๑๐ นาที / เช็คชื่ออีก ๑๐ นาที / ไล่ตีเด็กให้นั่งที่
อีก ๑๐ นาที ตรวจการบ้าน ๑๐ นาที เหลือสอนจริง ๑๐ นาที ฮา....)

ผมรีบชิงปิดการสอนแบบมีเชิง เพราะไม่อยากเห็นนักศึกษานั่งหาว ลุกเดินเข้าห้องน้ำ
หรือดึงปลายผมมาตัดเล่นอยู่หลังห้อง

เจอกันสัปดาห์หน้าเวลาเดิม....

ดร.วรัตต์ อินทสระ
(บ่ายวันฝนตกนิดหน่อย)

ฝากโฆษณาไว้ดูเล่น ๑ ชิ้น


ภาพโฆษณาก็ธรรมดา ๆ นะครับ แต่ข้อความนี่สิ...

Congratulations to Audi for winning
South African car of the year 2006

from the winner of
World Car of the Year 2006

แล้วตบท้ายด้วยโลโก้ BMW ที่มุมขวาล่าง

ถ้าเป็นภาษวัยรุ่นก็ต้องร้องว่า

"แสร่ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด แม่ม..ทำไปได้"