แม่ผมเสียชีวิตไปตั้งแต่ ปี ๒๕๔๖ ด้วยโรคมะเร็งตับ
แม่ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า ไม่มีอะไรที่เป็นภาวะการเสี่ยงต่อการ "เป็น" และ "ตาย" กับโรคนี้
จำได้ลาง ๆ ว่าช่วงเวลาของการรักษาสั้นมาก เพราะหลังจากตรวจเจอเนื้อร้ายที่ตับ
เวลาที่มันลุกลามจนทำลายทั้งชีวิต ใช้เวลาแค่ ๖ เดือน
แม่จิตใจเข้มแข็งมาก ถึงจะเจ็บจะปวดอย่างไร แต่ก็ยังไม่ลืมว่าหน้าที่ของแม่
ที่จะปฏิบัติต่อลูก หน้าที่ของภรรยาที่จะปฏิบัติต่อสามี (พ่อผม) คือภาระอะไร?
แม่ยังลุกขึ้นมาทำอาหาร / ยังกระย่องกระแย่งไปสอนหนังสือ จนร่างกายมันต้องบอกว่า
"พอเถอะ"
หลังจากนั้น...แม่ใช้เวลาอีก ๑ เดือนอยู่บนเตียงผู้ป่วยที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
เป็นหนึ่งเดือนที่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง "หมดหวัง" เพราะโดยอาการและวิธีการรักษาที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
เป็นหนึ่งเดือนที่ทรมานใจคนอยู่ และทรมานกายคนป่วย เป็นเวลาที่ภาพเก่าๆย้อนกลับมาเป็นฉากๆ
ตุ๊กตาหมีตัวแรกที่แม่ซื้อให้
จูงมือไปส่งครูตอนที่เรียนประถม
วิ่งวุ่นตอนที่ต้องฝากเข้าเรียนมัธยม
........
๕ ปีแรกที่แม่ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว
ผมไม่เคยออกไปเดินเที่ยวห้างหรือออกจากบ้านในวันแม่เลย
มันเจ็บแปลบๆ และจุกอยู่ในอก ที่ได้เห็นหญิงชายจูงมือแม่ ไปทานข้าวไปซื้อของ
ภาพของครอบครัวที่เป็นสถาบันที่แข็งแรงที่สุด มันเป็นภาพของคนอื่น ไม่มีภาพของเราอีกต่อไป
ผมใช้เวลาในวันแม่ของทุกปีอยู่ที่บ้าน ทำความสะอาดบ้าน ฟังเพลง ดูหนัง
เป็นกิจกรรม หลังจากที่ได้แค่ไหว้และระลึกถึงแม่แค่พวงมาลัยหนึ่งพวง
ที่เอาไปแขวนอยู่กับโกฐกระดูกที่วางอยู่เหนือหัวในห้องทำงาน
................................
เช้าวันนี้ผมใช้ทวิตเตอร์ พิมพ์ข้อความสั้น ๆ ไปว่า "วันแม่ วันศุกร์ วันสุข"
และ
"ใครมีแม่ให้ไปหาแม่ เพราะคุณมีโอกาสดีกว่าอีกหลายคนที่หมดโอกาสไปแล้ว"
เรื่องของแม่ นี่ถือว่าเป็นดราม่าของโลกได้เลยนะครับ!!!!
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า จะมีคนที่รักเราได้มากว่าชีวิตของตัวเอง โลกของโฆษณาก็หยิบเอา
เรื่องราวดราม่าแบบนี้มาเรียกน้ำตาอยู่บ่อย ๆ ไปดูความรักของพ่อแกับแม่ของเรากัน
เชื่อมั้ยครับว่า....ถึงจะรักเราแค่ไหน แม่ก็เคยโกหกเราอย่างน้อยก็ ๗ ครั้งในชีวิต
๑. เรื่องเริ่มขึ้นตอนเมื่อผมเป็นเด็ก ๆ ผมเกิดในครอบครัวยากจน
ครอบครัวของเราจนมากจนต้องอดข้าวบ่อย ๆ
เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อถึงเวลากินข้าว...แม่จะแบ่งข้าวม าให้ผมเพิ่มขึ้นอีก
พร้อมทั้งพูดว่า"ลูกต้องกินข้าวเพิ่มขึ้นนะ...ส่วนแม ่ไม่ค่อยหิว"
นี้เป็นครั้งแรกที่แม่โกหกผม
๒. เมื่อผมเติบโตขึ้น คุณแม่เพียรพยายามหาเวลาว่างไปตกปลาในแม่น้ำ
เพื่อว่าผมจะได้กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติ บโตของผม
แม่ต้มปลาที่ตกมาได้ทำเป็นซุปให้ผมกิน
ในขณะที่ผมกินแกงต้มปลา..แม่จะนั่งข้าง ๆผม แทะกิน เศษเนื้อปลาที่ติดอยู่ตามก้างปลาหลังจากที่ผมได้กินเนื้อปลาไปแล้ว
ผมรู้สึกตื้นตันใจมาก..ผมพยายามแบ่งเนื้อปลาให้แม่
แต่แม่ปฎิเสธทันควันพร้อมกับกล่าวว่า "ลูกกินเถอะ...แม่ไม่ค่อยชอบกินเนื้อปลา" นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่แม่โกหกผม
๓. เมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม เราต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้น
แม่ต้องหารายได้พิเศษด้วยการรับงานเล็ก ๆน้อยจากโรงงานมาทำที่บ้าน
บางครั้งผมตื่นขึ้นมาตอนตี 1 หรือตี 2...ผมยังเห็นแม่กำลังทำงาน
"แม่ครับ...นอนเถอะครับมันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานอีก"
แม่ยิ้มกับผมพูดว่า "ลูกนอนต่อก่อนนะ...แม่ยังไม่เหนื่อย...นอนไม่หล ับ"
ครั้งที่ 3 แล้วที่แม่โกหกผม
๔. ตอนเมื่อใกล้จบชั้นมัธยมผมต้องไปสอบเป็นวันสุดท้าย
แม่อุตส่าห์หยุดงานไปเป็นเพื่อนและเพื่อเป็นกำลังใจใ ห้ผม
มันเป็นวันที่แดดร้อนมาก ๆ...แม่ต้องรอผมอยู่หลายชม.
เมื่อผมทำข้อสอบเสร็จ...รีบออกมาหาแม่
เห็นแม่ผมมีเหงื่อออกท่วมตัว..
แต่ท่านกลับรินน้ำเย็นที่เตรียมมาให้ผมดื่ม
ผมเห็นแม่รู้สึกเหนื่อยและร้อนจึงขอให้แม่ดื่มน้ำก่อ น
แม่พูดขึ้นว่า "ลูกดื่มเถอะ....แม่ยังไม่กระหายน้ำ"
นั่นเป็นครั้งที่ 4 ที่แม่โกหกผม
๕. ในทื่สุดผมก็เรียนจบและมีงานทำ
ผมอยากให้แม่ซึ่งตรากตรำทำงานหนักมาตลอดได้พักผ่อนบ้าง
แต่แม่ไม่ยอม.....กลับไปตลาดทุกเช้า
ขายผักที่หามาได้เพื่อเลี้ยงชีพทั้ง ๆที่ผมพยายามส่งเงินมาให้แม่
(ผมต้องไปทำงานในเมืองที่ห่างไกล)
แม่ผมไม่ค่อยยอมรับเงินผม..บางครั้งยังส่งเงินกลับคื นให้ผมอีก
แม่พูดกับผมว่า "แม่มีเงินพอใช้แล้ว...ลูกควรเก็บเงินไว้สร้างฐานะ"
แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ ๕
๗. เพื่ออนาคตที่ก้าวหน้า..
ผมตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทด้วยทุนของมหาวิทยาลัย เมื่อผมเรียนจบก็ได้งานทำที่นั่นและมีเงินเดือนค่อนข้างสูง
เมื่อทำงานไปได้สักพัก...ผมอยากให้แม่ผมมาอยู่ด้วย
เพื่อว่าแม่จะได้หยุดทำงาน...พักผ่อนให้สบายในบั้นปลายของชีวิต
แต่แม่ผมไม่อยากรบกวนผม...บอกผมว่า "แม่ไม่คุ้นเคยกับชีวิตที่ลูกต้องดูแล"
ครั้งที่ ๖ แล้วซินะที่แม่โกหกผม
๗. เมื่อแม่แก่ตัวลงไปเรื่อย ๆ..
ในที่สุดแม่ก็เป็นมะเร็งและต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โ รงพยาบาล
แม่ผมนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเมื่อผมไปถึง
น้ำตาผมไหลอาบแก้มเมื่อเห็นแม่ซึ่งผ่ายผอมและดูทรุดโทรมลงอย่างมาก
แม่รู้สึกดีใจมากที่เห็นผม....พยายามยิ้มอย่างสดชื่น ด้วยความลำบาก
ผมรู้ดีว่าแม่ได้ฝืนความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดฝืน
จากโรคมะเร็งร้ายที่ลามไปทั่วทั้งตัว
ผมโอบกอดแม่พร้อมกับร้องไห้ด้วยความสงสาร
หัวใจผมในขณะนั้นเศร้าหมองและเจ็บปวดอย่างที่สุด
แม่พยายามปลอบผมด้วยเสียงที่แหบพร่าและสั่นเครือ
"ลูกรักของแม่...เห็นหน้าลูกแม่ไม่รู้สึกเจ็บแล้ ว"
นี่เป็นครั้งที่ ๗ ที่แม่โกหก
และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของแม่ที่โกหกผม
แม่ที่ผมรักและบูชามาตลอดชีวิตได้ปิดตาลงและจากผมไปอย่างไม่มีวันกลับ
หลังจากที่เธอกล่าวคำโกหกครั้งที่ ๗ จบลง.........
(เรียบเรียงตัดทอนจากฟอร์เวิดเมล์ในอินเตอร์เน็ต)โลกของแม่เต็มไปด้วยความรัก....ใครยังมีแม่อยู่ คุณโชคดีที่สุดในวันนี้
ดร.วรัตต์ อินทสระ
(๙ ปีที่ไม่มีแม่)
..ลึกซึ้งครับ
ตอบลบตั้งใจอ่านแบบลูกผู้ชายที่ยังมีแม่ให้ซึมซับ
ยังให้รู้สึกไหวเข้าไปถึงก้นบึ้งของใจ
เป็นกำลังใจให้ครับ...
T^T ไม่มีคำบรรยาย
ตอบลบอาจารย์นู๋ตั้งใจเข้ามาอ่านมากเลยนะและประทับใจมากน้ำตาไหลตอนตี2 คิดถึงแม่
ตอบลบ