วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แม่โกหกเรา ๗ ครั้งในชีวิต



แม่ผมเสียชีวิตไปตั้งแต่ ปี ๒๕๔๖ ด้วยโรคมะเร็งตับ

แม่ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า ไม่มีอะไรที่เป็นภาวะการเสี่ยงต่อการ "เป็น" และ "ตาย" กับโรคนี้

จำได้ลาง ๆ ว่าช่วงเวลาของการรักษาสั้นมาก เพราะหลังจากตรวจเจอเนื้อร้ายที่ตับ
เวลาที่มันลุกลามจนทำลายทั้งชีวิต ใช้เวลาแค่ ๖ เดือน

แม่จิตใจเข้มแข็งมาก ถึงจะเจ็บจะปวดอย่างไร แต่ก็ยังไม่ลืมว่าหน้าที่ของแม่
ที่จะปฏิบัติต่อลูก หน้าที่ของภรรยาที่จะปฏิบัติต่อสามี (พ่อผม) คือภาระอะไร?

แม่ยังลุกขึ้นมาทำอาหาร / ยังกระย่องกระแย่งไปสอนหนังสือ จนร่างกายมันต้องบอกว่า

"พอเถอะ"

หลังจากนั้น...แม่ใช้เวลาอีก ๑ เดือนอยู่บนเตียงผู้ป่วยที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

เป็นหนึ่งเดือนที่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง "หมดหวัง" เพราะโดยอาการและวิธีการรักษาที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

เป็นหนึ่งเดือนที่ทรมานใจคนอยู่ และทรมานกายคนป่วย เป็นเวลาที่ภาพเก่าๆย้อนกลับมาเป็นฉากๆ

ตุ๊กตาหมีตัวแรกที่แม่ซื้อให้
จูงมือไปส่งครูตอนที่เรียนประถม
วิ่งวุ่นตอนที่ต้องฝากเข้าเรียนมัธยม

........

๕ ปีแรกที่แม่ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว

ผมไม่เคยออกไปเดินเที่ยวห้างหรือออกจากบ้านในวันแม่เลย
มันเจ็บแปลบๆ และจุกอยู่ในอก ที่ได้เห็นหญิงชายจูงมือแม่ ไปทานข้าวไปซื้อของ

ภาพของครอบครัวที่เป็นสถาบันที่แข็งแรงที่สุด มันเป็นภาพของคนอื่น ไม่มีภาพของเราอีกต่อไป

ผมใช้เวลาในวันแม่ของทุกปีอยู่ที่บ้าน ทำความสะอาดบ้าน ฟังเพลง ดูหนัง
เป็นกิจกรรม หลังจากที่ได้แค่ไหว้และระลึกถึงแม่แค่พวงมาลัยหนึ่งพวง
ที่เอาไปแขวนอยู่กับโกฐกระดูกที่วางอยู่เหนือหัวในห้องทำงาน

................................

เช้าวันนี้ผมใช้ทวิตเตอร์ พิมพ์ข้อความสั้น ๆ ไปว่า "วันแม่ วันศุกร์ วันสุข"
และ
"ใครมีแม่ให้ไปหาแม่ เพราะคุณมีโอกาสดีกว่าอีกหลายคนที่หมดโอกาสไปแล้ว"

เรื่องของแม่ นี่ถือว่าเป็นดราม่าของโลกได้เลยนะครับ!!!!

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า จะมีคนที่รักเราได้มากว่าชีวิตของตัวเอง โลกของโฆษณาก็หยิบเอา
เรื่องราวดราม่าแบบนี้มาเรียกน้ำตาอยู่บ่อย ๆ ไปดูความรักของพ่อแกับแม่ของเรากัน




เชื่อมั้ยครับว่า....ถึงจะรักเราแค่ไหน แม่ก็เคยโกหกเราอย่างน้อยก็ ๗ ครั้งในชีวิต

๑. เรื่องเริ่มขึ้นตอนเมื่อผมเป็นเด็ก ๆ ผมเกิดในครอบครัวยากจน

ครอบครัวของเราจนมากจนต้องอดข้าวบ่อย ๆ

เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อถึงเวลากินข้าว...แม่จะแบ่งข้าวม าให้ผมเพิ่มขึ้นอีก

พร้อมทั้งพูดว่า"ลูกต้องกินข้าวเพิ่มขึ้นนะ...ส่วนแม ่ไม่ค่อยหิว"

นี้เป็นครั้งแรกที่แม่โกหกผม

๒. เมื่อผมเติบโตขึ้น คุณแม่เพียรพยายามหาเวลาว่างไปตกปลาในแม่น้ำ

เพื่อว่าผมจะได้กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติ บโตของผม

แม่ต้มปลาที่ตกมาได้ทำเป็นซุปให้ผมกิน

ในขณะที่ผมกินแกงต้มปลา..แม่จะนั่งข้าง ๆผม แทะกิน เศษเนื้อปลาที่ติดอยู่ตามก้างปลาหลังจากที่ผมได้กินเนื้อปลาไปแล้ว

ผมรู้สึกตื้นตันใจมาก..ผมพยายามแบ่งเนื้อปลาให้แม่

แต่แม่ปฎิเสธทันควันพร้อมกับกล่าวว่า "ลูกกินเถอะ...แม่ไม่ค่อยชอบกินเนื้อปลา" นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่แม่โกหกผม

๓. เมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม เราต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้น

แม่ต้องหารายได้พิเศษด้วยการรับงานเล็ก ๆน้อยจากโรงงานมาทำที่บ้าน

บางครั้งผมตื่นขึ้นมาตอนตี 1 หรือตี 2...ผมยังเห็นแม่กำลังทำงาน

"แม่ครับ...นอนเถอะครับมันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานอีก"

แม่ยิ้มกับผมพูดว่า "ลูกนอนต่อก่อนนะ...แม่ยังไม่เหนื่อย...นอนไม่หล ับ"

ครั้งที่ 3 แล้วที่แม่โกหกผม

๔. ตอนเมื่อใกล้จบชั้นมัธยมผมต้องไปสอบเป็นวันสุดท้าย

แม่อุตส่าห์หยุดงานไปเป็นเพื่อนและเพื่อเป็นกำลังใจใ ห้ผม

มันเป็นวันที่แดดร้อนมาก ๆ...แม่ต้องรอผมอยู่หลายชม.

เมื่อผมทำข้อสอบเสร็จ...รีบออกมาหาแม่

เห็นแม่ผมมีเหงื่อออกท่วมตัว..

แต่ท่านกลับรินน้ำเย็นที่เตรียมมาให้ผมดื่ม

ผมเห็นแม่รู้สึกเหนื่อยและร้อนจึงขอให้แม่ดื่มน้ำก่อ น

แม่พูดขึ้นว่า "ลูกดื่มเถอะ....แม่ยังไม่กระหายน้ำ"

นั่นเป็นครั้งที่ 4 ที่แม่โกหกผม


๕. ในทื่สุดผมก็เรียนจบและมีงานทำ

ผมอยากให้แม่ซึ่งตรากตรำทำงานหนักมาตลอดได้พักผ่อนบ้าง

แต่แม่ไม่ยอม.....กลับไปตลาดทุกเช้า

ขายผักที่หามาได้เพื่อเลี้ยงชีพทั้ง ๆที่ผมพยายามส่งเงินมาให้แม่

(ผมต้องไปทำงานในเมืองที่ห่างไกล)

แม่ผมไม่ค่อยยอมรับเงินผม..บางครั้งยังส่งเงินกลับคื นให้ผมอีก

แม่พูดกับผมว่า "แม่มีเงินพอใช้แล้ว...ลูกควรเก็บเงินไว้สร้างฐานะ"

แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ ๕


๗. เพื่ออนาคตที่ก้าวหน้า..

ผมตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทด้วยทุนของมหาวิทยาลัย เมื่อผมเรียนจบก็ได้งานทำที่นั่นและมีเงินเดือนค่อนข้างสูง

เมื่อทำงานไปได้สักพัก...ผมอยากให้แม่ผมมาอยู่ด้วย

เพื่อว่าแม่จะได้หยุดทำงาน...พักผ่อนให้สบายในบั้นปลายของชีวิต

แต่แม่ผมไม่อยากรบกวนผม...บอกผมว่า "แม่ไม่คุ้นเคยกับชีวิตที่ลูกต้องดูแล"

ครั้งที่ แล้วซินะที่แม่โกหกผม

๗. เมื่อแม่แก่ตัวลงไปเรื่อย ๆ..

ในที่สุดแม่ก็เป็นมะเร็งและต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โ รงพยาบาล

แม่ผมนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเมื่อผมไปถึง

น้ำตาผมไหลอาบแก้มเมื่อเห็นแม่ซึ่งผ่ายผอมและดูทรุดโทรมลงอย่างมาก

แม่รู้สึกดีใจมากที่เห็นผม....พยายามยิ้มอย่างสดชื่น ด้วยความลำบาก

ผมรู้ดีว่าแม่ได้ฝืนความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดฝืน

จากโรคมะเร็งร้ายที่ลามไปทั่วทั้งตัว

ผมโอบกอดแม่พร้อมกับร้องไห้ด้วยความสงสาร

หัวใจผมในขณะนั้นเศร้าหมองและเจ็บปวดอย่างที่สุด

แม่พยายามปลอบผมด้วยเสียงที่แหบพร่าและสั่นเครือ

"ลูกรักของแม่...เห็นหน้าลูกแม่ไม่รู้สึกเจ็บแล้ ว"

นี่เป็นครั้งที่ ที่แม่โกหก

และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของแม่ที่โกหกผม

แม่ที่ผมรักและบูชามาตลอดชีวิตได้ปิดตาลงและจากผมไปอย่างไม่มีวันกลับ

หลังจากที่เธอกล่าวคำโกหกครั้งที่ จบลง.........

(เรียบเรียงตัดทอนจากฟอร์เวิดเมล์ในอินเตอร์เน็ต)

โลกของแม่เต็มไปด้วยความรัก....ใครยังมีแม่อยู่ คุณโชคดีที่สุดในวันนี้



ดร.วรัตต์ อินทสระ
(๙ ปีที่ไม่มีแม่)








3 ความคิดเห็น:

  1. ..ลึกซึ้งครับ

    ตั้งใจอ่านแบบลูกผู้ชายที่ยังมีแม่ให้ซึมซับ

    ยังให้รู้สึกไหวเข้าไปถึงก้นบึ้งของใจ

    เป็นกำลังใจให้ครับ...

    ตอบลบ
  2. อาจารย์นู๋ตั้งใจเข้ามาอ่านมากเลยนะและประทับใจมากน้ำตาไหลตอนตี2 คิดถึงแม่

    ตอบลบ