เพื่อให้เข้าใจว่า..ทำไม?
ต้องส่งบทความโต้แย้งนี้ในเวทีสาธารณะ เป็นเพราะจากอนุสนธิจากบทความเรื่อง
“พลานุภาพการเปรียบกษัตริย์เป็นพ่อของประชาชน” เผยแพร่ในเวปไซต์ประชาไท http://prachatai.com/journal/2011/12/38111เมื่อวันพฤหัสเวลา
๐๑.๐๐ เศษๆ บวกกับทวีตเตอร์ @PravitR ซึ่งขอยกมาบางข้อความ เช่น
@PravitR:
กว่า 50 ปีของข้อมูลด้าน 'ดี' ด้านเดียวเกี่ยวกับสถาบันฯ คงทำให้คนจำนวนหนึ่งเกิดอาการมึนชาทางสมองเรื้อรัง
@PravitR:
คนไม่ใช่ควาย จะได้มานั่งยัดเยียดข้อมูลด้านเดียว ด้านเดียว ทุกวัน
-แม้แต่ควายก็คงไม่ยอมทน #ม112
@PravitR:
คนไม่ใช่ควาย จะได้ทนกับข้อมูลด้านเดียวไปจนวันตาย -แม้ควายยังสมควรได้ข้อมูลหลากหลายเกี่ยวกับเจ้านายมัน
#ม112
จะสังเกตเห็นว่าการติกแท็ก
๑๑๒ ตอนท้ายความคิดเห็นนั้น คือ แนวคิดมุ่งไปสู่ประเด็นกฎหมายมาตรา ๑๑๒ โดยชัดเจน
และเพื่อให้เกิดข้อมูลเพิ่มเติม ก่อนจะอ่าน “ความโต้แย้ง” ขอให้ลองติดตามอ่าน ทวีตเตอร์ @PravitR เป็นภาคผนวกไปด้วย
หลังจากนั้นจึงค่อยกลับมาละเลียดความเห็นโต้แย้งนี้อีกครั้ง
(๑)ประวัติศาสตร์การรบ
ประวัติศาสตร์ของหลายประเทศในโลก
มีเรื่องราวให้น่าศึกษามากมาย ถ้าศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับกษัตริย์ก็จะพบวิถีของการสงครามเป็นส่วนใหญ่
เมื่อหมดสงคราม—อิทธิพลของระบอบการปกครองทั้งประชาธิปไตยทั้งเผด็จการก็แผ่เข้ามาสมทบรวมกับโลกาภิวัตน์
ซึ่งเรื่องนี้พื้นฐานคือการปฏิวัติข้อมูลด้านข่าวสาร
เมื่อโลกก้าวมาถึงจุดนี้ วัฒนธรรมของหลายชาติจึงจำเป็น จำยอม
หรือพร้อมใจเปลี่ยน ขอยกตัวอย่างง่ายๆ จากเพลงปลุกใจให้รักชาติกลายมาเป็นเพลงกรุ๊งกริ๊ง
แบบจิงเกิ้ลโฆษณา จากสงครามกู้ชาติเปลี่ยนมาเป็นสงครามการสร้างตราสินค้า
(Brand)
มองมุมนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัว
--ถ้าประชาชนในชาติ ไม่มองย้อนไปถึงที่มาของความเป็นชาติ ที่กว่าจะรวบรวมได้เป็นปึกแผ่นเช่นวันนี้ แล้วหลงทิศไปมีแนวคิดอ้างอิงตะวันตก
จากการชี้นำของนักเรียนหัวนอก
กลับบ้านเพื่อปฏิเสธอาณาจักรและทำตัวเป็นเจ้าอาณาจักรเสียเอง ด้วยเชื่อกันว่าระบบแบบตะวันตกนั้นเหนือกว่า โดยเฉพาะคำว่า “เสรี”
เศรษฐกิจเสรี
การค้าเสรี สื่อเสรี หรืออะไรก็ตามที่กล่าวอ้างถึงความเสรี โดยเนื้อแท้แล้วมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง มันเป็นการแปลงร่างของนายทุนที่ก้าวเข้ามา
“ผูกขาด” ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นหนึ่งกระบวนการในพัฒนาระบบทุนนิยม ระบบนี้เข้ามาหาประโยชน์และพยายามเปลี่ยนแปลงกลไกความคิดของชนชั้นที่ต่ำกว่า เอาประโยชน์จากแรงงาน เอาประโยชน์จากการลงทุนในรูปแบบต่างๆ และสุดท้ายจะมาเอาประโยชน์จากรากเหง้าวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของชาติ
ด้วยพลังของทุน เทคโนโลยีและสื่อมวลชน
(๒)
เกมล่าเหยื่อ
วันนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการสร้าง
เกมล่าเหยื่อ (นายทุนàประชาชนผู้ยากจน)
สมการนี้มีสมมติฐานมาจากความเป็นสัตว์เศรษฐกิจของมนุษย์ คือต่อสู้เพื่ออำนาจ ลงแข่งขัน
มีผลแพ้ชนะที่เกิดจากกิเลสของประชาชน
ถ้าระบบทุนนิยมชนะก็เดินบนเส้นทางที่เรียกว่า
ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
โดยปักป้ายวาทกรรม วิสัยทัศน์ใหม่
คิดใหม่ ทำใหม่
ซึ่งคนที่สร้างวาทกรรมนี้ยังแอบซุกตัวอยู่ในมายาที่แปลกปลอมในสังคม
หลายประเทศที่เจริญแล้ว
ใช้วัฒนธรรมนำหน้าเศรษฐกิจ นำหน้าการเมือง หลายประเทศไม่ต้องมีกระทรวงวัฒนธรรม (ยกเว้นประเทศฝรั่งเศสที่มีกระทรวงวัฒนธรรมเพื่อเป็นแว่นสายตาสำหรับการดู
“เมืองขึ้น”)
ความแตกแยกของสังคมไทยวันนี้โดยเฉพาะความติดที่จะแยกกษัตริย์กับประชาชน ขอให้มองไปที่
คณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตลอดระยะเวลา
๔๐-๕๐ ปีที่ผ่านมา กลุ่มคนพวกนี้สร้างความเสื่อมถอยให้กับประเทศในทุกด้าน
ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติ วิถีชุมชน สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศวิทยา
รวมไปถึงระบบสังคมและวัฒนธรรม เพราะคนพวกนี้ยอมตามความคิดนายทุนทั้งต่างชาติและนายทุนในประเทศ ใช้ศาสตร์ที่ร่ำเรียนมาจากเมืองนอก “แปลงคนให้เป็นบริวาร”
โดยไม่มองย้อนไปที่ภูมิปัญญาท้องถิ่น ไม่เข้าใจมิติทางสังคม และไม่นำพาต่อประวัติศาสตร์ชาติไทย
แต่หลังจากที่ตกเป็นอาณานิคมทางปัญญามานาน
คนกลุ่มนี้แก้ตัวด้วยการทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๘ เชื่อมกับฉบับที่ ๙ โดยใช้”คน”เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและยึดหลัก
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นหัวใจ
แล้วจึงย่อยเอาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในการบริหาร การพัฒนา และเป็นวิถีนำทาง
ถ้ามีใครถามว่าเศรษฐกิจพอเพียง
คือ อะไร? ขอตอบอย่างง่ายและสั้นว่า เป็นต้นทุนทางสังคมที่ยืนคนละฟากกับทุนนิยม
(๓)
หลังปฐมบรมราชโองการ
“เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
ในหลวงไม่เคยมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศอย่างแท้จริงเลย พระราชอำนาจทั่วไป พระราชอำนาจพิเศษ
พระราชอำนาจสำรอง ถูกชนชั้นปกครองบดบังไปจนสิ้น ในหลวงยอมอยู่ภายใต้กฎหมายทุกฉบับอย่างเคร่งครัด
ไม่ว่าใครหน้าไหนจะเป็นผู้ออกกฎหมาย ทรงอดทนรอคอยจนวินาทีสุดท้ายที่จะกอบกู้บ้านเมืองในยามวิกฤติ
เนื่องจากการละเว้นในหน้าที่ของคนอื่น
พระเจ้าอยู่หัวถึงแม้จะเป็นกษัตริย์
แต่ไม่ได้มีฐานะเป็นผู้ปกครอง
ผู้ปกครองของประเทศนี้ คือ ทหารและนักการเมืองที่ผลัดกันขึ้นมาครองอำนาจ
ทุกยุคทุกสมัยที่ชนชั้นปกครองขึ้นมามีอำนาจ ก็ใช้อำนาจโดยขาดปัญญา
ทะเยอทะยานและเห็นแก่ความยิ่งใหญ่ของตนเองและพวกพ้อง
เพียงแค่แนวคิด
“พอเพียง” ของในหลวงในยุคสมัยที่เรากำลังถูกล่าจากนายทุนหน้าเหลี่ยมและพวกพ้องทุกวันนี้
“คิดให้ลึกให้ซึ้ง” ก็เพียงพอต่อการยืนอยู่ข้างรักษาองค์พระมหากษัตริย์ตลอดไป เพียงพอต่อการนับถือว่าในหลวงคือพ่อของแผ่นดินนี้ มิพักต้องย้อนกลับไปถึงพระราชกรณียกิจอื่น ๆ อันเป็นประโยชน์ยิ่งต่อประชาชน
เราระลึกถึงโดยไม่จำเป็นต้องหวั่นไหวกับประโยคตีกินเป็นแผ่นเสียงตกร่อง
ว่าพวกมึงรับข้อมูลด้านเดียว
และประวิตร
โรจนพฤกษ์...คุณต่อสู้เพื่อแผ่นดินนี้มากี่ครั้ง คุณเก่งมาจากไหนไม่เอากษัตริย์
หรือจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่สู้เพื่อเหลี่ยมกับอากง
ด้วยจิตคารวะ
ดร.วรัตต์
อินทสระ